วันศุกร์ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2557

ยืนยันนางงามพม่าพูดความจริง! เอเยนซีเกาหลีบังคับมีเซ็กซ์กับนักธุรกิจ

ยืนยันนางงามพม่าพูดความจริง! เอเยนซีเกาหลีบังคับมีเซ็กซ์กับนักธุรกิจ
สื่อเกาหลีใต้อ้าง ว่ากองประกวด Miss Asia Pacific ได้ยอมรับแล้วว่า "เมย์ เมียต โน" พูดความจริง กรณีที่เธออ้างว่าถูกเอเยนซีแห่งหนึ่งบังคับให้มีความสัมพันธ์กับนักธุรกิจ ใหญ่
        มีข่าวยืนยันแล้วว่าคำกล่าวอ้างของนางงามชาวพม่า "เมย์ เมียต โน" เจ้าของตำแหน่ง Miss Asia Pacific ที่ว่าเธอโดนทีมงานเกาหลีใต้บีบบังคับให้มีความสัมพันธ์ทางเพศกับนักธุรกิจ นั้นเป็นความจริง!
      
       เมื่อเดือน พ.ค. ที่ผ่านมาได้เกิดข่าวฉาวขึ้นกับวงการประกวดนางงามระดับโลก เมื่อ เมย์ เมียต โน เจ้าของตำแหน่ง Miss Asia Pacific ได้เกิดปัญหาความขัดแย้งกับกองประกวด Miss Asia Pacific World Organization (MAPWO) ซึ่งทีมงานเป็นคนเกาหลีใต้ทั้งหมด และเป็นเวทีประกวดนางงามระดับนานาชาติซึ่งจัดกันในเกาหลีใต้ ถึงขั้นที่สาวพม่าวัย 16 ปี ได้ตัดสินใจกลับประเทศบ้านเกิดไปพร้อมกับมงกุฏราคา 100,000 เหรียญสหรัฐฯ พร้อมแถลงข่าวโจมตีกองประกวดในหลายจุด และในเวลาเดียวกันกองประกวดก็ตอบโต้ด้วยการแฉว่าสาวชาวพม่าก็มีพฤติกรรมที่ ไม่เหมาะสมมากมาย
      
       โดยหนึ่งในข้อกล่าวหาที่ เมย์ เมียต โน เผยก็คือเรื่องที่ว่าเธอได้ถูกกดดัน ให้มีความสัมพันธ์ทางเพศกับนักธุรกิจใหญ่รายหนึ่ง โดยเธอให้ข่าวว่าในเดือน ส.ค. มีเอเยนซีแห่งหนึ่งได้เข้ามาเสนอให้เธอทำงานเพลง แต่สุดท้ายเอเยนซีแห่งนี้กลับพยายามโน้มน้าวให้เธอยอมมีอะไรกับนักธุรกิจราย หนึ่ง ด้วยข้ออ้างว่าเขาจะช่วยเหลือเกี่ยวกับเรื่องงานเพลงของเธอได้ ซึ่งเธอได้ปฏิเสธไป และยังรู้สึกไม่พอใจอย่างรุนแรงด้วย
      
       ซึ่งล่าสุดก็มีข่าวออกมาว่า "ชอย" วัย 48 ปี หัวหน้าเอเยนซีจอมฉาวได้สารภาพกับกองประกวดว่าเขาเป็นคนที่พยายามบีบให้สาว ชาวพม่ายอมให้บริการทางเพศนักธุรกิจใหญ่รายหนึ่งจริงๆ โดยเขาพยายามโน้มน้าวเธอไปว่า นักธุรกิจรายนี้จะช่วยเหลือด้านเงินทุนสำหรับการฝึกฝนเตรียมตัวของเธอในการ เข้าวงการบันเทิง ซึ่งทาง MAPWO ได้ตัดสินใจรายงานเรื่องนี้ นอกจากนั้นเพื่อป้องกันไม่ให้มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีกทาง MAPWO ก็ได้แจ้งให้เจ้าหน้าที่ทราบว่า ชอย ยังเซ็นสัญญากับสาวงามอีกหลายคนด้วย
      
       อย่างไรก็ตามยังไม่มีคำยืนยันว่าข้อกล่าวหาอื่นๆ ของ เมย์ เมียต โน ต่อกองประกวดเป็นความจริงหรือไม่ นอกจากนั้นก็ยังคงต้องติดตามกันต่อไปว่าทาง MAPWO จะยังดำเนินคดีทางกฎหมายกับสาวงามชาวพม่าต่อไปอีกหรือไม่
      
       เพราะนอกจากประเด็นขายตัวแล้ว เมย์ เมียต โน กับกองประกวด Miss Asia Pacific ยังให้ข่าวโจมตีกันหลายเรื่อง โดยฝ่ายสาวงามชาวพม่าอ้างว่าเธอยังถูกบีบให้ทำศัลยกรรมเพิ่มขนาดหน้าอก นอกจากนั้นก็ยังไม่เคยได้รับเงินจากการถ่ายโฆษณาเลยด้วย ส่วนกองประกวดก็อ้างว่า เมย์ เมียต โน มีพฤติกรรมโกหก และทำตัวไม่เป็นมืออาชีพ โดยเธอได้โกหกกองประกวดว่าอายุ 18 ปี ทั้งๆ ที่เธออายุแค่ 16 ปี เท่านั้น สุดท้ายกองประกวดยังได้ฟ้องร้องเธอในข้อหาลักทรัพย์หลัง เมย์ เมียต โน นำมงกุฏกลับบ้านไปโดยไม่ได้รับอนุญาตด้วย
      
       จวกยับ! Miss Asia Pacific World ไร้มาตรฐาน-ส่อละเมิดทางเพศ
       กองประกวดออกแถลงการณ์โต้กลับนางงามพม่า! ยันโกหกซ้ำซาก
       ปลด! นางงามพม่าพ้นตำแหน่ง “Miss Asia Pacific World” กองประกวดจวกยับพฤติกรรมไม่เหมาะสม
       นางงามพม่าโต้กองประกวด Miss Asia Pacific World! แฉโดนสั่งทำหน้าอก
ยืนยันนางงามพม่าพูดความจริง! เอเยนซีเกาหลีบังคับมีเซ็กซ์กับนักธุรกิจ
สาวน้อยวัย 16 ปี คือนางงามพม่าคนแรกที่คว้าตำแหน่งในการประกวดระดับนานาชาติได้สำเร็จ
       
ยืนยันนางงามพม่าพูดความจริง! เอเยนซีเกาหลีบังคับมีเซ็กซ์กับนักธุรกิจ
แต่หลังคว้ามงกุฎ กลับเกิดเหตุการณ์อื้อฉาวมากมาย โดยเธออ้างว่ากองประกวดได้บังคับให้เธอทำศัยกรรมหน้าอก และยังจ่ายค่าตัวไม่ครบ นอกจากนั้นเอเยนซีในเกาหลียังพยายามบังคับให้เธอมีความสัมพันธ์กับนักธุรกิจ ใหญ่ด้วย ส่วน กองประกวด Miss Asia Pacific ก็ฟ้องกลับ "เมย์ เมียต โน" พร้อมแฉกลับว่าเธอมีพฤติกรรมโกหกมากมาย
       

“อัครพงศ์ปรีชา” สูงสุดคืนสู่สามัญ

คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น
 “อัครพงศ์ปรีชา” สูงสุดคืนสู่สามัญ
พี่น้องอัครพงศ์ปรีชาขณะถูกควบคุมตัว

 “อัครพงศ์ปรีชา” สูงสุดคืนสู่สามัญ
หนังสือ จากกองกิจการในพระองค์สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร แจ้งให้กระทรวงมหาดไทยยกเลิกชื่อสกุลพระราชทาน “อัครพงศ์ปรีชา”

 “อัครพงศ์ปรีชา” สูงสุดคืนสู่สามัญ
คำสั่งไล่ออก ว่าที่ พ.ต.ณัฐพงศ์ อัครพงศ์ปรีชาออกจากราชการ

 “อัครพงศ์ปรีชา” สูงสุดคืนสู่สามัญ
คำสั่งไล่ออก จ.ส.อ.สิทธิศักดิ์ อัครพงศ์ปรีชาออกจากราชการ

 “อัครพงศ์ปรีชา” สูงสุดคืนสู่สามัญ
คำสั่งไล่ออกนายณรงค์ อัครพงศ์ปรีชาออกจากราชการ

ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -จากจุดเริ่มต้นที่มีตัวละครเอกอย่าง “พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์” อดีต ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง(ผบช.ก.) วันนี้ แม้จะมีการขยายผลจับกุมเดอะกิ๊กแอนด์เดอะแก๊งในคดีบ่อนพระราม 9 และส่วยน้ำมันเถื่อน แต่ในความ เป็นจริงปฏิเสธไม่ได้ว่า “คดีแอบอ้างเบื้องสูง” ในการแสวงหาผลประโยชน์ จุดศูนย์รวมความสนใจของคนในสังคมพุ่งเป้าไปอยู่ที่ “ตระกูลอัครพงศ์ปรีชา” เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
      
       โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีหนังสือจาก “กองกิจการในพระองค์สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร” ไปถึงปลัดกระทรวงมหาดไทยเรื่องยกเลิกชื่อสกุลพระราชทานอัครพงศ์ปรีชาเมื่อ วันที่ 28 พฤศจิกายน 2557 โดยให้ผู้ที่ใช้ชื่อสกุลนี้กลับไปใช้ชื่อสกุลเดิม
      
       หนังสือฉบับดังกล่าวลงนามโดย พล.อ.อ.สถิตย์พงษ์ สุขวิมล ราชเลขานุการในพระองค์ฯ ปฏิบัติหน้าที่ผู้อำนวยการกองกิจการในพระองค์สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร
      
       ความน่าสนใจของชื่อสกุลพระราชทาน “อัครพงศ์ปรีชา” อยู่ตรงที่การปรากฏรายชื่อคนในตระกูลนี้ถูกหมายจับในคดีแอบอ้างเบื้องสูงที่ เกี่ยวโยงกับการกระทำผิดของ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ถึง 3 คนด้วยกันคือ
      
       นายณัฐพล อัครพงศ์ปรีชา
      
       นายณรงค์ อัครพงศ์ปรีชา
      
       นายสิทธิศักดิ์ อัครพงศ์ปรีชา
      
       เบื้องแรกมีข่าวออกมาว่าสกุลเดิมที่ทั้ง 3 คนจะต้องกลับไปใช้คือ “เกิดอำแพง” แต่วันนี้เป็นที่ชัดเจนแล้วว่า ไม่ใช่ เพราะมีหลักฐานหลังจากกระทรวงมหาดไทยได้ดำเนินการลบชื่อสกุลพระราชทานอัคร พงศ์ปรีชาเป็นที่เรียบร้อยเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2557 ที่ผ่านมาแล้วว่า นามสกุลที่ถูกต้องคือ “สุวะดี”
      
       รายงานข่าวแจ้งว่า เมื่อวันที่ 29-30 พฤศจิกายน เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง กระทรวงมหาดไทย เดินทางเข้าไปยังเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นสถานที่ควบคุมตัวเครือข่ายของ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ เพื่อแจ้งเรื่องการยกเลิกนามสกุลของผู้ต้องหาที่ใช้ “อัครพงศ์ปรีชา” มาเป็นนามสกุล “สุวะดี” ทั้งนี้ เพื่อให้ฝ่ายทะเบียนของทางเรือนจำดำเนินการแก้ไขนามสกุลในเอกสารทางคดีเพื่อ ความถูกต้องในขั้นตอนธุรการ
      
       อย่างไรก็ตาม ไม่ได้มีแค่นายณัฐพล นายณรงค์และนายสิทธิศักดิ์เท่านั้น หากแต่ยังมีอีก 1 อัครพงศ์ปรีชาที่ถูกดำเนินคดีพร้อมกับ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ด้วย นั่นคือ “นางสุดาทิพย์ ม่วงนวล” ภรรยาของ พ.ต.อ.โกวิท ม่วงนวล อดีต ผกก.ตม.สมุทรสาคร เพราะนามสกุลเดิมของนางสุดาทิพย์ก่อนเปลี่ยนมาเป็นม่วงนวลคือ อัครพงศ์ปรีชาเช่นกัน
      
       และนางสุดาทิพย์คือพี่สาวของทั้ง 3 คน
      
       นี่กล่าวเฉพาะอัครพงศ์ปรีชาที่เกี่ยวข้องกับคดี พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์เท่านั้น เพราะต้องไม่ลืมว่า อัครพงศ์ปรีชามิได้มีแค่ 4 คนเท่านั้น หากแต่หมายถึงผู้ที่ใช้ชื่อสกุลพระราชทานอัครพงศ์ปรีชาทุกคนด้วย
      
       ทั้งนี้ ชื่อสกุลพระราชทานอัครพงศ์ปรีชานั้น ได้พระราชทานให้ “นายอภิรุจและนางวันทนีย์ อัครพงศ์ปรีชา” ซึ่งมีบุตรรวม 5 คน
      
       สำหรับความผิดของนายณัฐพล นายณรงค์และนายสิทธิศักดิ์นั้น ในเบื้องแรกเมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2557 ทั้งหมดถูกออกหมายจับในข้อหาร่วมกันข่มขืนใจให้กระทำการใด ไม่กระทำการใด โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิตร่างกายหรือเสรีภาพ โดยมีอาวุธโดยร่วมกันตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป และหน่วงเหนี่ยวหรือกักขัง หรือกระทำด้วยประการใดให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพในร่างกาย และให้ผู้อื่นนั้นกระทำการใดให้แก่ผู้กระทำหรือบุคคลอื่น และร่วมกันลักทรัพย์
      
       แต่ต่อมาก็เป็นที่ชัดเจนว่า พฤติกรรมดังกล่าว กลุ่มผู้ต้องหาได้มีการ “แอบอ้างเบื้องสูง” ในการแสวงหาผลประโยชน์
       
       วันที่ 28 พฤศจิกายน 2557 ศาลจังหวัดพระโขนงได้เผยแพร่ข่าวประชาสัมพันธ์โดยระบุคำร้องพนักงานสอบสวนบรรยายพฤติการณ์สรุปว่า...
      
        “เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2557 เวลา 07.30 น. นายชากานต์ ภาคภูมิ ผู้ต้องหาที่ 5 พร้อมกับพวกรวม 5 คนมาดักรอนายวิทยา ปัญญาทวีกูล ผู้เสียหายที่หน้าบ้านพักเลขที่ 869/8 ซอยสุขุมวิท 101 แขวงบางจาก เขตพระโขนง กทม. ใช้ปืนข่มขู่บังคับไปที่บ้านหลังหนึ่งย่านพุทธมณฑลสาย 3 แขวงและเขตทวีวัฒนา กทม.พบกับนายณัฐพล ผู้ต้องหาที่ 1 แนะนำตัวเองเป็นพระอนุชาของพระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายาฯ แล้วบังคับให้ติดต่อบุคคลที่รู้จักไปเจรจาเรื่องหนี้สินที่ค้างอยู่กับนาย ป. ผู้เสียหายพยายามติดต่อบุคคลผู้ใกล้ชิดให้ไปพบพวกผู้ต้องหาที่ร้านอาหารแห่ง หนึ่งใกล้วัดศรีเอี่ยม ถนนบางนา-ตราด แต่บุคคลนั้นไม่ยอมออกมาพบผู้ต้องหา จึงควบคุมตัวนายวิทยาไว้กระทั่งวันที่ 21 มีนาคม 2557 เวลา 01.05 น.ได้พานายวิทยาออกจากบ้านแล้วปล่อยตัวไป
      
       “ระหว่างนั้น พวกผู้ต้องหาลักเอาบัตรประจำตัวประชาชน ใบขับขี่ รวมทั้งเงินสดประมาณ 2,000 บาทที่เป็นทรัพย์สินของนายวิทยาไปด้วย ภายหลังนายวิทยาเข้าร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน สน.พระโขนง กระทั่งขอศาลจังหวัดพระโขนงออกหมายจับผู้ต้องหา ชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนผู้ต้องหาที่ 1-3 ให้การรับสารภาพ ส่วนผู้ต้องหาที่ 4-5 ให้การปฏิเสธชั้นจับกุม แต่ให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวน”
      
       และตอกย้ำชัดเจนมากขึ้น เมื่อนายชลัช โพธิราช หนึ่งในผู้ร่วมขบวนการ อัครพงศ์ปรีชาได้สารภาพต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจหลังเข้ามอบตัวว่า “ตอนแรกยังไม่รู้ว่าเกี่ยวข้องกับใครบ้าง เคยเจอคนที่อยู่ในตระกูลอัครพงศ์ปรีชาบางครั้ง นายชากานต์(ภาคภูมิ) ให้ขับรถไปด้วยจึงทำให้เห็นบุคคลดังกล่าว ได้ยินชื่อเรียกว่านายปื้ดหรือนายณรงค์ อัครพงศ์ปรีชา”
      
       นี่คือพฤติกรรมการแอบอ้างเบื้องสูงของ 3 พี่น้องตระกูลอัครพงศ์ปรีชา ซึ่งในคดีนี้จะได้รับส่วนแบ่ง 10 เปอร์เซ็นต์จากเงินส่วนลดที่ได้ คือลดจาก 120 ล้านบาทเหลือ 20 ล้านบาท หรือได้รับค่าจ้างราว 10 ล้านบาท จาก นายนพพร ศุภพิพัฒน์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท วินด์ เอนเนอร์ยี่ โฮลดิ้ง จำกัด (Wind Energy Holding (WEH) ผู้ ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในมหาเศรษฐีที่อายุน้อยที่สุด ติดอันดับที่ 31 ใน 50 ของมหาเศรษฐีประจำปี 2557 ซึ่งจัดขึ้นโดยนิตยสาร ฟอร์บไทยแลนด์ (FORBES THAILAND) ที่ร่ำรวยจากธุรกิจโรงไฟฟ้า พลังงานลม และ มีมูลค่าทรัพย์สิน 26,076 ล้านบาท
      
       ดังนั้น จงอย่าแปลกใจว่า ทำไมก่อนหน้านี้ หน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์ได้มีคำสั่งปลด ว่าที่ พ.ต.ณัฐพล ออกจากผู้ช่วยนายทหารยุทธการ
      
       คำสั่งเลขที่ 656 /2557 เขียนเอาไว้ว่า ให้ว่าที่ พ.ต.ณัฐพล อัครพงศ์ปรีชา หมายเลขประจำตัว 1462402079 ผช.นายทหารธุรการ กองบังคับการ สำนักงานฝ่ายเสนาธิการในพระองค์สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร หน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์ ออกจากราชการ โดยไม่มีเบี้ยหวัดบำเหน็จบำนาญ เป็นพ้นราชการทหารประเภทที่ 2 และถอดออกจากว่าที่ยศทหาร เนื่องจากกระทำผิดวินัยทหาร ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง ผิดกฎหมายบ้านเมือง
      
       ดังนั้น จงอย่าแปลกใจที่ จ.ส.อ.สิทธิศักดิ์ จะถูกปลดออกจากเสมียนกองบังคับการ สำนักงานฝ่ายเสนาธิการในพระองค์สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร
      
       คำสั่งที่ 657/2557 เขียนเอาไว้ว่า ให้ปลด “จ.ส.อ.สิทธิศักดิ์ อัครพงศ์ปรีชา” หมายเลขประจำตัว 1467600050 เสมียนกองบังคับการ สำนักงานฝ่ายเสนาธิการในพระองค์สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร หน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์ ออกจากราชการ โดยไม่มีเบี้ยหวัดบำเหน็จบำนาญ คงเป็นนายสิบกองหนุน ประเภทที่ 1 ชั้นที่ 1 สังกัด จทบ.ก.ท.และถอดออกจากยศทหาร เนื่องจากกระทำความผิดวินัยทหาร ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง ผิดกฎหมายบ้านเมือง
      
       ขณะที่อีก 1 อัครพงศ์ปรีชาคือ นายณรงค์ ก็เผชิญ ชะตากรรมที่ไม่ต่างกัน โดยสำนักพระราชวังมีคำสั่งที่ 428/2557 ลงวันที่ 23 พฤศจิกายน 2557 ให้ลงโทษไล่ออก นายณรงค์ อัครพงศ์ปรีชา ข้าราชการพลเรือนในพระองค์ ตำแหน่งเจ้าพนักงานในพระองค์ ประเภททั่วไป ระดับอาวุโส เลขที่ตำแหน่ง 926 งานต่างประเทศ ฝ่ายราชเลขานุการ กองกิจการในพระองค์สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ลงนามโดย นายจิรายุ อิศรางกูร ณ อยุธยา รองเลขาธิการพระราชวัง รักษาราชการแทนเลขาธิการพระราชวัง
      
       ทั้งนี้ คำสั่งดังกล่าวเขียนเอาไว้ว่า สำนักพระราชวังได้รับรายงานจากกองกิจการในพระองค์สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เมื่อวันที่ 23 พฤจิกายน 2553 ว่า นายณรงค์ได้แอบอ้างพระนามาภิไธยของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เพื่อหาประโยชน์ส่วนตน การกระทำดังกล่าวทำให้ไม่เป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัย ในการนี้ มีพระราชบัณฑูรให้ลงโทษไล่นายณรงค์ อัครพงศ์ปรีชา ออกจากราชการ
      
       สิ่งที่จะต้องสืบเสาะแสวงหาต่อไปก็คือ มหาเศรษฐีหมื่นล้านอย่าง “นายนพพร ศุภพิพัฒน์” ประธานกรรมการบริหาร บริษัท วินด์ เอนเนอยี่ โฮลดิ้ง จำกัด ไปรู้จักมักจี่กับ 3 อัครพงศ์ปรีชาได้อย่างไร ถึงได้จ้างให้ไปขอลดหนี้จาก “นายบัณฑิต โชติวิทยะกุล” ซึ่งเป็นผู้เสียหาย เพราะดูจากเส้นทางแล้ว ไม่น่าจะไปบรรจบกันได้ นั่นแสดงว่า ย่อมมี “คน” แนะนำให้นายนพพรไปใช้บริการ 3 อัครพงศ์ปรีชา
      
       คนๆ นั้นเป็นใคร?
      
       แน่นอน ในชั้นนี้ยังมิได้มีการเปิดเผยออกมาแต่เชื่อว่า ต้องเป็นคนที่มีประวัติความเป็นมาที่ไม่บันเบาอย่างแน่นอน
      
       ทั้งนี้ จากการสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ปรากฏชื่อบุคคลที่มีชื่อว่า “เจี๊ยบ” เป็นตัวละครเพิ่มขึ้นอีก 1 คน และขณะนี้ได้มีการออกหมายจับเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยนายเจี๊ยบเป็นตัวกลางแนะนำนายนพพรให้รู้จักกับนายชากานต์ ภาคภูมิ และเป็นคนนำเงินสดจำนวนหลายแสนบาทมาให้นายชากานต์เพื่อเป็นค่าจ้างให้แก๊ง ไกล่เกลี่ยหนี้แก๊งนี้ นอกจากนั้นจากคำให้การของนายบัณฑิต โชติวิทยะกุลซึ่งถูกอุ้มไปบีบให้ลดหนี้ก็ได้พูดถึงนายเจี้ยบเช่นกัน
      
       นอกจากนั้นแล้ว สิ่งที่เจ้าหน้าที่ตำรวจจะต้องสืบสวนและสอบสวนต่อก็คือ ก่อนหน้านี้ 3 อัครพงศ์ปรีชาแอนด์เดอะแก๊งเคยรับงานในทำนองนี้มากี่มากน้อย เพราะเป็นไปไม่ได้ว่า งานรับจ้างนายนพพรเป็นงานแรก หากแต่จะต้องมีการรับงานมาในระดับหนึ่งและประสบความสำเร็จ ไม่เช่นนั้น คงไม่เป็นที่ไว้วางใจให้ทำงานในลักษณะนี้
      
       ในที่สุดหลังจากสอบรีดข้อมูลจากผู้ร่วมขบวนการก็ทำให้มีการออกหมายจับเพิ่มเติมอีก 2 คดีพร้อมๆ กันในวันที่ 3 ธันวาคม 2557
      
       คดีที่สอง ศาลจังหวัดพระโขนงได้ออกหมายจับ “นายปรีชา ดาราไตร” นักธุรกิจนำเข้าและจำหน่ายรถยนต์มือสอง และ “นายไพเชษฐ์ เมธิสริยพงศ์” เจ้าของปริษัทไทยบัสขนส่ง จำกัด ผู้ดำเนินกิจการรถร่วมบริการ ขสมก.สาย 8
      
       โดยนายปรีชาเป็นผู้ว่าจ้างให้กลุ่มผู้ต้องหาไปอุ้ม “นายวิทยา ปัญญาทวีกูล” ลูกหนี้มาเคลียร์หนื้สินจำนวนหนึ่ง ส่วนนายไพเชษฐ์เป็นผู้ร่วมขบวนการที่พานายปรีชาไปติดต่อจ้างวานแก๊งแอบอ้าง เบื้องสูงแก๊งนี้และยังเป็นเจ้าของบ้านที่อุ้มนายวิทยาไปเจรจาได้
      
       สำหรับคดีที่ 3 เกิดขึ้นในตลาดชื่อดังในจังหวัดปทุมธานีคือ “ตลาดไท” โดยคดีนี้มี “นายไตรสรณ์ ธีระตระกูล”เสี่ยเจ้าของสัมปทานจำหน่ายน้ำแข็งในตลาดไทเป็นผู้มาแฉพฤติกรรม ของแก๊งแอบอ้างเบื้องสูง
      
       นายไตรสรณ์เปิดเผยว่า เหตุดังกล่าวขึ้นในปี 2556 โดยตนเองได้จ่ายเงินค่าประมูลสัมปทานขายน้ำแข็งในตลาดไทอย่างถูกต้องเป็น เงินจำนวน 24 ล้านบาท จากนั้นกลุ่มผู้ต้องหาคือนายชากานต์ ภาคภูมิ พร้อม “นางเล็ก” ไม่ทราบนามสกุล เจ้าของร้านน้ำแข็งได้เข้ามาเปิดร้านน้ำแข็งตัดราคา จากก้อนละ 40 บาทเหลือก้อนละ 25 บาทเพื่อกดดันให้เลิกกิจการดังกล่าว
      
       “นายชากานต์ได้นำคนมาประมาณ 4-5 คนเข้ามาพูดคุย โดยอ้างเบื้องสูงในการจะมาทำกิจการดังกล่าว หากไม่ยกเลิกกิจการจะลำบาก จึงทำให้เจ้าของตลาดไทไม่กล้าว่าอะไร กระทั่งผมตัดสินใจยกเลิกการทำกิจการดังกล่าวไป จากนั้นกลุ่มของผู้ต้องหาจึงนำพรรคพวกเข้ามาดำเนินกิจการแทน”นายไตรสรณ์ให้ ข้อมูล
      
       ขณะเดียวกันจากการสอบปากคำกลุ่มผู้ต้องหากลุ่มนี้ พบว่านอกจากจะมีพฤติกรรมก่อเหตุทวงหนี้และบังคับลดหนี้แล้ว ทั้งหมดยังรับงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องอีกด้วย กล่าวคือทำหน้าที่เป็นนายหน้ารับเคลียร์กับตำรวจให้กับสถานบริการหลายแห่ง รวมทั้งรับเป็นนายหน้าเคลียร์กับตำรวจเพื่อเปิดแผงขายซีดีเถื่อนหลายร้าน ย่านคลองถม โดยมีบางรายง่ายเงินให้ถึงเดือนละประมาณ 100,000 บาท เพื่อให้ขายซีดีเถื่อนได้ด้วย
      
       สำหรับผู้ร่วมขบวนการ ซึ่งเป็นมือเป็นไม้ให้ 3 อัครพงศ์ปรีชาใช้งาน เท่าที่ได้มีการออกหมายจับในขณะนี้ประกอบด้วย นายชากานต์ ภาคภูมิ นายสุทธิศักดิ์ สุทธิจิตต์ นายชลัช โพธิราช นายวิทยา เทศขุนทด นายณัฐนันท์ ทานะเวช สอ.ณธกร ยาศรีและสอ.ธีรพงศ์ ช่อจำปี
      
       ขณะเดียวกัน นอกจากกิจการใต้ดินในลักษณะดังกล่าวแล้ว จากการตรวจสอบข้อมูลของสำนักข่าวอิศราพบว่า ตระกูลอัครพงศ์ปรีชามีธุรกิจร่วมกันในนามบริษัทที่มีชื่อว่า “บริษัท อัครพงศ์ปรีชา จำกัด” ตั้งเมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2549 มีนางสุดาทิพย์เป็นผู้จดทะเบียนก่อตั้ง และมีนายณัฐพงศ์เป็นผู้ร่วมถือหุ้น 300 หุ้น
      
       ทว่า ไม่เป็นที่แน่ชัดว่าทำธุรกิจอะไร
      
       นอกจากนี้ยังมีธุรกิจรีสอร์ทอยู่ที่อำเภอสวนผึ้ง จังหวัดราชบุรี ใช้ชื่อว่า “สวนผึ้งรีสอร์ท” ตั้งอยู่ หมู่ 2 ต.สวนผึ้ง อ.สวนผึ้ง จ.ราชบุรี โดยเจ้าของรีสอร์ทแห่งนี้คือ นางสุดาทิพย์ ม่วงนวล ซึ่งเป็นพี่สาวคนโต
      
       นี่ยังไม่นับรวมธุรกิจค้าปลีก ซึ่งคนในจังหวัดละแวกใกล้เคียงกับบ้านเกิดของอัครพงศ์ปรีชารับรู้กันโดยทั่ว เพราะมีการขยายสาขาอย่างรวดเร็วมาก
      
       นั่นย่อมหมายความว่า รากฐานทางธุรกิจของอัครพงศ์ปรีชาเป็นไปอย่างกว้างขวางและกำลังเติบใหญ่ในทุกเส้นทาง
      
       แต่ถึงวันนี้ ตระกูลอัครพงศ์ปรีชาเดินทางมาถึงจุดจบอย่างไม่น่าเชื่อด้วยอ้างเบื้องสูง กระทำผิดประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ในการแสวงหาพฤติกรรมแอบอ้างผลประโยชน์ และถูกลบชื่อสกุลพระราชทานออกจาก
      
       วันนี้ คำว่า “สูงสุดคืนสู่สามัญ” จึงเป็นคำที่เหมาะสมสำหรับอัครพงศ์ด้วยประการทั้งปวง
       

“น้องเฟิร์ส” เจ๋ง! สาวไทยคนแรก คว้ามงกุฏ Miss Intercontinental หลังรอคอยมานาน 43 ปี!

“น้องเฟิร์ส” เจ๋ง! สาวไทยคนแรก คว้ามงกุฏ Miss Intercontinental หลังรอคอยมานาน 43 ปี!
        สาวไทยเจ๋ง! “เฟิร์ส ภัทราพร หวัง” คว้ามงกุฎ Miss Intercontinental 2014 มาครองได้สำเร็จ หลังคนไทยรอคอยมานานถึง 43 ปี
      
       กลายเป็นประวัติศาสตร์อีกหน้าหนึ่งสำหรับเวทีขาอ่อนของเมืองไทย หลังจากที่ “เฟิร์ส ภัทราพร หวัง” ตัวแทนสาวไทยจากเวที “มิสแกรนด์ ไทยแลนด์ 2014” สามารถคว้ามงกุฎและสายสะพายในการประกวดรอบตัดเชือก Miss Intercontinental 2014 ที่ Maritim Hall, Maritim Hotel ประเทศเยอรมันเมื่อคืนวานนี้ (4 ธันวาคม 2557)
      
       โดยเฟิร์สยังถือว่าเป็นนางงามคนแรกที่พิชิตใจกรรมการจนสามารถคว้า มงกุฎบนเวทีดังกล่าวมาฝากแฟนๆ ได้เป็นผลสำเร็จ หลังจากรอคอยมายาวนานถึง 43 ปี โดยงานนี้สาวงามจากคิวบาคว้ารองอันดับ 1 และสาวงามจากฟิลิปปินส์คว้ารองอันดับ 2 ไปครอง
“น้องเฟิร์ส” เจ๋ง! สาวไทยคนแรก คว้ามงกุฏ Miss Intercontinental หลังรอคอยมานาน 43 ปี!
       
“น้องเฟิร์ส” เจ๋ง! สาวไทยคนแรก คว้ามงกุฏ Miss Intercontinental หลังรอคอยมานาน 43 ปี!
       
“น้องเฟิร์ส” เจ๋ง! สาวไทยคนแรก คว้ามงกุฏ Miss Intercontinental หลังรอคอยมานาน 43 ปี!
       
“น้องเฟิร์ส” เจ๋ง! สาวไทยคนแรก คว้ามงกุฏ Miss Intercontinental หลังรอคอยมานาน 43 ปี!
       
“น้องเฟิร์ส” เจ๋ง! สาวไทยคนแรก คว้ามงกุฏ Miss Intercontinental หลังรอคอยมานาน 43 ปี!
       
“น้องเฟิร์ส” เจ๋ง! สาวไทยคนแรก คว้ามงกุฏ Miss Intercontinental หลังรอคอยมานาน 43 ปี!
       
“น้องเฟิร์ส” เจ๋ง! สาวไทยคนแรก คว้ามงกุฏ Miss Intercontinental หลังรอคอยมานาน 43 ปี!
       

วันอาทิตย์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

หยุดเมาธ์นะจ๊ะ "ญาญ่า" แก้ข่าวโดน "ณเดชน์" จับหน้าอกถ่ายเเฟชั่นที่มัลดีฟส์


























ใครกันช่างเมาธ์ถึงคู่ขวัญสุดฟินเเห่งยุค  "ณเดชน์ คูกิมิยะ" เเละสาว "ญาญ่า อรัสยา" ถึงเมื่อครั้งไปถ่ายเเฟชั่นสุดสวีทไกลมัลดีฟส์ ว่าช็อตหนึ่งในเเฟชั่นความหวานนั้น คล้ายกับว่ามือของหนุ่มณเดชน์ อยู่ในตำแหน่งที่ล่อแหลมมากเหมือนจับโดนหน้าอกของสาวญาญ่าเข้า!!


http://www.matichon.co.th/online/2014/11/14167378661416737919l.jpg


งานนี้สาวญาญ่า ก็รีบออกมาชี้แจงว่าไม่ใช่ น่าจะเป็นมุมมากกว่า พร้อมกับยืนยันว่าไม่โดนหน้าอกเเน่นอน


"ไม่โดนค่ะ เป็นรูปที่อุ้มกัน น่าจะได้เห็นในหนังสือ เป็นรูปที่ถ่ายเล่นแต่จะเอาไปใส่ในหนังสือด้วย หนูใส่จั๊มพ์สูทมือสอดเข้าไปไม่ได้อยู่แล้ว ถ้าโดนหนูก็คงพูดอะไรแล้วล่ะ คนจับผิดเป็นเรื่องปกติ ขนาดหนูดูรูปคนอื่นหนูยังซูมแล้วซูมอีก (ยิ้ม)"

เอ้า ทราบเเล้วหยุดเมาธ์กันนะจ๊ะ



http://www.matichon.co.th/online/2014/11/14167378661416737925l.jpg



http://www.matichon.co.th/online/2014/11/14167378661416737906l.jpg


http://www.matichon.co.th/online/2014/11/14167378661416737962l.jpg

ค้นบ้าน"พงศ์พัฒน์" ยึดเงินสด-พระเครื่อง-โฉนดที่ดิน มูลค่าร่วมหมื่นล้าน ผบ.ตร.สั่งออกจากราชการไว้ก่อน


ค้นบ้านพงศ์พัฒน์ ยึดเงินสด-พระเครื่อง-โฉนดที่ดิน มูลค่าร่วมหมื่นล้าน ผบ.ตร.สั่งออกจากราชการไว้ก่อน
พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธ์ุ (แฟ้มภาพ)

เผยค้นบ้าน "พงศ์พัฒน์" 4-6 หลัง พบเงินสดซุกซ่อนนับพันล้านบาท พระพุทธรูปบูชาหายาก กว่า 100 องค์ พระเครื่องชื่อดัง หลายพันองค์ โฉนดที่ดินจำนวนมาก เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างการตรวจสอบที่มาที่ไป รวมมูลค่าทรัพย์สินที่ยึดได้ร่วม 1 หมื่นล้าน ด้าน ผบ.ตร.ลงนามสั่งออกจากราชการไว้่ก่อนทั้งก๊วน
       

      
       วันที่ 23 พฤศจิกายน ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ตร.) รายงานข่าวแจ้งว่าการเข้าจับกุม พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธ์ ผบช.ก.ปฏิบัติราชการ ศปก.ตร. และ พล.ต.ต.โกวิทย์ วงศ์รุ่งโรจน์ รองผบช.ก.ปฏิบัติราชการ ศปก.ตร. พร้อมพวก ครั้งนี้ได้มีการควบคุมผู้ต้องหาทั้งหมด 8 คน โดยแยกควบคุมตัวไว้ที่สถานีตำรวจนครบาล 8 แห่ง และมีการควบคุมตัวเหมือนผู้ต้องหาทั่วไปในห้องควบคุมผู้ต้องหา สำหรับ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ถูกควบคุมตัวไว้ที่ สน.เตาปูน ขณะที่ พล.ต.ต.โกวิทย์ ถูกควบคุมตัวไว้ที่ สน.พหลโยธิน ซึ่งในวันที่ 24 พ.ย. เวลา 08.00 น.จะนำตัวผู้ต้องหาทั้งหมดไปขออำนาจศาลฝากขังที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก
      
       เมื่อคืนที่ผ่านมา ได้ควบคุมตัวผู้ต้องหาทั้ง 8 คน สอบปากคำที่ค่ายทหารแห่งหนึ่งโดยแยกกันสอบปากคำ ก่อนที่จะแยกย้ายกันนำตัวไปควบคุมตามสถานีตำรวจต่างๆ
      
       สำหรับ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ หลังสอบปากคำเสร็จ ได้ถูกตำรวจอรินทราชนำตัวมาที่ สน.เตาปูน เมื่อเวลา 01.00 น.วันที่ 23 พ.ย. โดยสวมเสื้อยืดสีขาว กางเกงขายาวสีกากี มีท่าทางอิดโรยอย่างเห็นได้ชัด
      
       แหล่งข่าวระดับสูง กล่าวว่า จากการสอบสวนผู้ต้องหาทั้งหมดให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา โดยก่อนหน้านี้เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนได้ทำการตรวจค้นบ้านพักของผู้ต้องหาทั้ง 8 คน พบพยานหลักฐานมากมาย โดยเฉพาะในบ้านพักของ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ที่มีอยู่ 4-6 หลัง พบเงินสดซุกซ่อนอยู่นับพันล้านบาท ทรัพย์สินอื่น อาทิ พระพุทธรูปบูชาหายาก กว่า 100 องค์ พระเครื่องชื่อดังจำนวนหลายพันองค์ โฉนดที่ดินจำนวนมาก ซึ่งเจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างการตรวจสอบที่มาที่ไปของโฉนดที่ดินเหล่านี้ รวมมูลค่าทรัพย์สินที่ยึดได้ร่วม 1 หมื่นล้าน
      
       ขณะเดียวกันมีรายงานว่า วันนี้(23 พ.ย.) พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผบ.ตรได้มีคำสั่ง ตร.ที่ 632/2557 ลงวันที่ 23 พ.ย.2557 เรื่องให้ข้าราชการตำรวจออกจากราชการไว้ก่อน โดยคำสั่งดังกล่าวระบุว่า อาศัยอำนาจตามมาตรา 95 พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2547 ประกอบกฎ ก.ตร.ว่าด้วยการสั่งพักราชการและให้ออกจากราชการไว้ก่อน พ.ศ.2547 ข้อ 8 จึงมีคำสั่งให้ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธ์ ผบช.ก.ปฏิบัติราชการ ศปก.ตร. พล.ต.ต.โกวิทย์ วงศ์รุ่งโรจน์ รอง ผบช.ก.ปฏิบัติราชการ ศปก.ตร. พล.ต.ต.บุญสืบ ไพรเถื่อน ผบก.รน.ปฏิบัติราชการ ศปก.ตร. พ.ต.อ.วุฒิชาติ เลื่อนสุคันธ์ ผกก.4 บก.ปคบ. ด.ต.สุรศักดิ์ จันทร์เงา ผบ.หมู่ กก.ปพ.บก.ป. ด.ต.ฉัตรินทร์ เหล่าทอง ผบ.หมู่ กก.ปพ.บก.ป. ออกจากราชการไว้ก่อน ทั้งนี้ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
      
       อนึ่ง ผู้ถูกสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อนตามคำสั่งนี้มีสิทธิ์อุทธรณ์ต่อ ก.ตร.ตาม พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2547 มาตรา 105 ภายใน 30 วัน นับแต่วันทราบคำสั่งและประสงค์จะฟ้องโต้แย้งคำสั่งหรือวินิจฉัยอุทธรณ์นี้ ให้ทำคำฟ้องเป็นหนังสือยื่นต่อศาลปกครองหรือส่งไปทางไปรษณีย์ลงทะเบียนภายใน 90 วัน นับแต่วันที่รับแจ้งหรือรับทราบคำวินิจฉัยอุทธรณ์ นับแต่วันที่ผู้ฟ้องคดีได้มีหนังสือขอรับผลการวินิจฉัยอุทธรณ์
      
       มีรายงานว่า ในวันที่ 24 พ.ย.2557 พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผบ.ตร. จะมีคำสั่งตั้งกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรงกับนายตำรวจทั้ง 6 นายด้วย

ผบ.ทบ.' สั่งล่าไอ้โม่งโปรยใบปลิว โจมตี คสช.



อุดมเดช สั่งล่าไอ้โม่งโปรยใบปลิว โจมตี คสช. หวั่นเกิดลอกเลียนแบบ ขยายวงกว้าง ไม่ติดใจ นศ.ชู 3 นิ้ว วอนผู้ปกครอง-อาจารย์ ทำความเข้าใจ
วันที่ 23 พ.ย. ที่กรมการขนส่งทหารบก พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมและผู้บัญชาการทหารบก ให้สัมภาษณ์ก่อนเดินทางไปเป็นประธานในพิธีพระราชทานเพลิงศพนายทหารที่เสีย ชีวิตจากเหตุเฮลิคอปเตอร์ตก ถึงกรณีที่มีการโปรยใบปลิวโจมตีการทำงานของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และรัฐบาลว่า ตนได้รับรายงาน ขณะนี้ให้ทางเจ้าหน้าที่ตรวจสอบในเรื่องดังกล่าวแล้ว
ทั้งนี้ ถือเป็นข้อคิดเห็นของคนที่ยังไม่เข้าใจต่อการทำงานของรัฐบาล แต่อยากฝากไปว่าสิ่งต่างๆ เหล่านี้ ให้ช่วยกันทำความเข้าใจในเรื่องที่ผ่านมา จริงๆแล้วการดำเนินงานของรัฐบาลเป็นไปตามขั้นตอนตามที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. ได้ระบุไว้ เพราะฉะนั้นทุกส่วนน่าจะเข้าใจและช่วยกันประคับประคองเหตุการณ์ ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร เพียงแต่ต้องให้ความสนใจว่ามีความคิดเห็นอะไรอย่างไร จากการตรวจสอบบางจุดก็เป็นเรื่องของนักศึกษา ตรงนี้ก็ต้องดูว่ามีผู้ที่เกี่ยวข้องลึกลงไปหรือไม่
"ถ้าหากเป็นเยาวชน นิสิต นักศึกษา ก็ฝากไปยังผู้ปกครอง ครูบาอาจารย์ ได้ช่วยกันทำความเข้าใจด้วย ถือว่าเป็นวัยที่บริสุทธิ์ เพราะนิสิต นักศึกษา อยู่ในวัยที่น่าจะได้รับการชี้แจง คำแนะนำ เพราะผมอยากให้น้องๆ นักศึกษา มีความเข้าใจที่ถูกต้อง อยากให้ช่วยกันประคับประคองให้การดูแลชาติของรัฐบาลเป็นไปตามขั้นตอน และสุดท้ายเราก็จะมีรัฐบาลที่ถูกต้องในโอกาสต่อไป สมกับที่ทุกคนได้หวังไว้ ทางรัฐบาล ทหาร และผมในฐานะที่เป็นผู้บัญชาการทหารบก อยากให้เป็นเช่นนั้น"
พล.อ.อุดมเดช กล่าวต่อว่า เป็นความปรารถนาดี ไม่อยากให้มีอะไรเกิดขึ้นระหว่างทาง สิ่งที่เกิดขึ้นจะมีผู้อยู่เบื้องหลัง ต้องการให้เกิดการต่อต้านที่ค่อยเป็นค่อยไปและใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ หรือไม่ ถ้าเป็นเช่นนั้น อยากให้กลับไปคิดดูว่า ท่านกำลังทำให้ประเทศชาติไม่สามารถยืนหยัดในประชาคมโลกได้ และประเทศไทยจะถอยหลังไปอีก ในส่วนนี้ก็คงต้องมีการติดตามสืบสวน สืบหาและใครก็ตามที่อยู่ในข่ายที่จะทำความผิดในด้านกฎหมาย ก็ต้องดำเนินการ
เมื่อถามว่า ในส่วนของภาพยนตร์ “ฮังเกอร์เกมส์” ที่กำลังเข้าฉายอยู่ จนทำให้นักศึกษานำมาแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ จะดำเนินการอย่างไร พล.อ.อุดมเดช กล่าวว่า ก็ไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่อะไรมาก ถือเป็นการแสดงออกเล็กน้อย แต่ก็ไม่เหมาะสม และจะเป็นการเลียนแบบอย่างไรต่อไป ต้องช่วยกันดูแล ทำความเข้าใจเดินหน้าด้วยดี อย่าให้สะดุด และขยายวงกว้างออกไปก็จะเกิดความเรียบร้อย เมื่อถามว่า มีข้อมูลว่าการโปรยใบปลิวมีคนอยู่เบื้องหลังจริง
พล.อ.อุดมเดช กล่าวว่า กำลังตรวจสอบอยู่ว่าจะมีเช่นนั้นหรือไม่ ก็อยากจะขอร้องว่าอย่าทำเลย เพราะตนต้องเข้ามาดูแล ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กก็ตาม เพราะตนให้ความสนใจและต้องดูแลในรายละเอียดต่อไป เมื่อถามต่อว่า ห่วงหรือไม่ว่าจะเกิดการลอกเลียนแบบจากพื้นที่หนึ่งไปยังอีกพื้นที่หนึ่ง พล.อ.อุดมเดช กล่าวว่า ก็เป็นไปได้ แต่ไม่อยากให้เป็นเช่นนั้น จึงขอร้องกันให้ทำความเข้าใจ รัฐบาลได้ประคับประคองสถานการณ์จนทุกคนรู้สึกว่าประเทศมีความปกติทุกอย่าง แล้วจะทำให้ความไม่เรียบร้อยเกิดขึ้นมาอีกทำไม
เมื่อถามว่า นายกฯ เตรียมจะลงพื้นที่ภาคเหนือ มีการดูแลความปลอดภัยอย่างไร เพราะมีการพ่นสเปรย์ต่อต้าน รวมถึงการชู 3 นิ้ว ในระหว่างที่ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เข้าร่วมประชุมหอการค้าทั่วประเทศ ที่ จ.เชียงราย พล.อ.อุดมเดช กล่าวว่า ได้กำชับไปยัง พล.ท.สาธิต พิธรัตน์ แม่ทัพภาคที่ 3 ให้ดูแลความเรียบร้อยแล้ว

คุมตัว “พงศ์พัฒน์” และพวก ฐานทำเสื่อมพระเกียรติแสวงหาผลประโยชน์ เผย “อัครวุฒิ์” พยายามฆ่าตัวตาย 3 ครั้งก่อนกระโดดตึก

คุมตัว “พงศ์พัฒน์” และพวก ฐานทำเสื่อมพระเกียรติแสวงหาผลประโยชน์ เผย “อัครวุฒิ์” พยายามฆ่าตัวตาย 3 ครั้งก่อนกระโดดตึก
ภาพพล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธ์ อดีตผบช.ก.ขณะถูกควบคุมตัวไปสอบปากคำ

คุมตัว “พงศ์พัฒน์” และพวก ฐานทำเสื่อมพระเกียรติแสวงหาผลประโยชน์ เผย “อัครวุฒิ์” พยายามฆ่าตัวตาย 3 ครั้งก่อนกระโดดตึก
1. พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ ผบช.ก.และ พล.ต.ต.โกวิทย์ วงศ์รุ่งโรจน์ รอง ผบช.ก.ปฏิบัติราชการ ศปก.ตร. ในความผิดฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพตามประมวลอาญา มาตรา 112

คุมตัว “พงศ์พัฒน์” และพวก ฐานทำเสื่อมพระเกียรติแสวงหาผลประโยชน์ เผย “อัครวุฒิ์” พยายามฆ่าตัวตาย 3 ครั้งก่อนกระโดดตึก
พ.ต.อ.อัครวุฒิ์ หลิมรัตน์ อดีต ผกก.1 บก.ป. (แฟ้มภาพ)

โฆษก ตร.ยันคุมตัว “พงศ์พัฒน์” และพวก ฐานทำเสื่อมพระเกียรติ แสวงหาผลประโยชน์มิชอบ อ้างการสอบสวนผู้ต้องหาให้การรับสารภาพแล้ว เตรียมนำตัวฝากขังพรุ่งนี้ เตรียมแถลงโชว์หลักฐานทำผิด เผย “พ.ต.อ.อัครวุฒิ์” ให้ข้อมูลแล้วก็ไปกระโดดตึกฆ่าตัวตาย พยานเผยพยายามฆ่าตัวตายแล้ว 3 ครั้ง
      
       วันนี้ (23 พ.ย.) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผู้ช่วย ผบ.ตร.) รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (รรท.ผบช.ก) และโฆษก ตร.เปิดเผยว่า มีการขออนุมัติหมายจับกุม พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ ผบช.ก.ช่วยราชการศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปก.ตร.) พร้อมตำรวจอีก 6 นาย และพลเรือนอีก 3 คน รวมทั้งหมด 10 คนในข้อหาความผิดคดีอาญาจริง โดยขณะนี้ควบคุมตัว พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์และพวกรวม 8 คนไว้แล้ว มีแจ้งข้อหาและรับทราบข้อกล่าวหาแล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างควบคุมตัวเพื่อทำการสอบสวนและจะนำตัวไปรายงานตัวฝากขังต่อ ศาลอาญาในวันที่ 24 พ.ย.นี้ ส่วนพลเรือนอีก 2 คน คือ นางสวงค์ มุ่งเที่ยง และนายเริงศักดิ์ ศักดิ์ณรงค์ นั้นยังจับกุมไม่ได้ อยู่ระหว่างสืบสวนติดตาม
      
       พล.ต.ท.ประวุฒิกล่าวด้วยว่า จากการสืบสวนสอบสวนมีพยานหลักฐานว่า มีการกระทำอันทำให้เสื่อมเสียพระเกียรติเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ในทางมิชอบ ซึ่งรายละเอียดพฤติการณ์การกระทำผิดจะมีการแถลง เปิดเผยหลักฐานต่อสื่อมวลชนอย่างละเอียดอีกครั้งในเร็วๆ นี้ จากการสอบสวนทั้งหมดให้การรับสารภาพตามข้อกล่าวหา
      
       พล.ต.ท.ประวุฒิกล่าวว่า สำหรับ พ.ต.อ.อัครวุฒิ์ หลิมรัตน์ อดีต ผกก.1 บก.ป.นั้น จากการสืบสวนพบว่าอยู่ในขบวนการเดียวกันร่วมกระทำความผิด ก่อนหน้านี้มีการเชิญตัวมาให้ข้อมูลแล้ว ให้ความร่วมมืออย่างดี ให้การเป็นประโยชน์ แต่ขณะนั้นยังไม่มีการขออนุมัติหมายจับด้วยเห็นว่าเป็นนายตำรวจระดับสูงจึง ยังไม่ควบคุมตัวไว้ กระทั่งต่อมาทราบว่าหลัง พ.ต.อ.อัครวุฒิ์ให้ข้อมูลแล้วก็ไปกระโดดตึกฆ่าตัวตาย ด้วยความเครียดและเกรงกลัวถูกดำเนินคดี ทรายภายหลังว่าก่อนเข้าให้ข้อมูลนั้น พ.ต.อ.อัครวุฒิ์เครียดมากและมีพยานยืนยันว่าพยายามฆ่าตัวตายถึง 3 ครั้ง มีการเขียนข้อความลาตายไว้ด้วย