วันอาทิตย์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

หยุดเมาธ์นะจ๊ะ "ญาญ่า" แก้ข่าวโดน "ณเดชน์" จับหน้าอกถ่ายเเฟชั่นที่มัลดีฟส์


























ใครกันช่างเมาธ์ถึงคู่ขวัญสุดฟินเเห่งยุค  "ณเดชน์ คูกิมิยะ" เเละสาว "ญาญ่า อรัสยา" ถึงเมื่อครั้งไปถ่ายเเฟชั่นสุดสวีทไกลมัลดีฟส์ ว่าช็อตหนึ่งในเเฟชั่นความหวานนั้น คล้ายกับว่ามือของหนุ่มณเดชน์ อยู่ในตำแหน่งที่ล่อแหลมมากเหมือนจับโดนหน้าอกของสาวญาญ่าเข้า!!


http://www.matichon.co.th/online/2014/11/14167378661416737919l.jpg


งานนี้สาวญาญ่า ก็รีบออกมาชี้แจงว่าไม่ใช่ น่าจะเป็นมุมมากกว่า พร้อมกับยืนยันว่าไม่โดนหน้าอกเเน่นอน


"ไม่โดนค่ะ เป็นรูปที่อุ้มกัน น่าจะได้เห็นในหนังสือ เป็นรูปที่ถ่ายเล่นแต่จะเอาไปใส่ในหนังสือด้วย หนูใส่จั๊มพ์สูทมือสอดเข้าไปไม่ได้อยู่แล้ว ถ้าโดนหนูก็คงพูดอะไรแล้วล่ะ คนจับผิดเป็นเรื่องปกติ ขนาดหนูดูรูปคนอื่นหนูยังซูมแล้วซูมอีก (ยิ้ม)"

เอ้า ทราบเเล้วหยุดเมาธ์กันนะจ๊ะ



http://www.matichon.co.th/online/2014/11/14167378661416737925l.jpg



http://www.matichon.co.th/online/2014/11/14167378661416737906l.jpg


http://www.matichon.co.th/online/2014/11/14167378661416737962l.jpg

ค้นบ้าน"พงศ์พัฒน์" ยึดเงินสด-พระเครื่อง-โฉนดที่ดิน มูลค่าร่วมหมื่นล้าน ผบ.ตร.สั่งออกจากราชการไว้ก่อน


ค้นบ้านพงศ์พัฒน์ ยึดเงินสด-พระเครื่อง-โฉนดที่ดิน มูลค่าร่วมหมื่นล้าน ผบ.ตร.สั่งออกจากราชการไว้ก่อน
พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธ์ุ (แฟ้มภาพ)

เผยค้นบ้าน "พงศ์พัฒน์" 4-6 หลัง พบเงินสดซุกซ่อนนับพันล้านบาท พระพุทธรูปบูชาหายาก กว่า 100 องค์ พระเครื่องชื่อดัง หลายพันองค์ โฉนดที่ดินจำนวนมาก เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างการตรวจสอบที่มาที่ไป รวมมูลค่าทรัพย์สินที่ยึดได้ร่วม 1 หมื่นล้าน ด้าน ผบ.ตร.ลงนามสั่งออกจากราชการไว้่ก่อนทั้งก๊วน
       

      
       วันที่ 23 พฤศจิกายน ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ตร.) รายงานข่าวแจ้งว่าการเข้าจับกุม พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธ์ ผบช.ก.ปฏิบัติราชการ ศปก.ตร. และ พล.ต.ต.โกวิทย์ วงศ์รุ่งโรจน์ รองผบช.ก.ปฏิบัติราชการ ศปก.ตร. พร้อมพวก ครั้งนี้ได้มีการควบคุมผู้ต้องหาทั้งหมด 8 คน โดยแยกควบคุมตัวไว้ที่สถานีตำรวจนครบาล 8 แห่ง และมีการควบคุมตัวเหมือนผู้ต้องหาทั่วไปในห้องควบคุมผู้ต้องหา สำหรับ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ถูกควบคุมตัวไว้ที่ สน.เตาปูน ขณะที่ พล.ต.ต.โกวิทย์ ถูกควบคุมตัวไว้ที่ สน.พหลโยธิน ซึ่งในวันที่ 24 พ.ย. เวลา 08.00 น.จะนำตัวผู้ต้องหาทั้งหมดไปขออำนาจศาลฝากขังที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก
      
       เมื่อคืนที่ผ่านมา ได้ควบคุมตัวผู้ต้องหาทั้ง 8 คน สอบปากคำที่ค่ายทหารแห่งหนึ่งโดยแยกกันสอบปากคำ ก่อนที่จะแยกย้ายกันนำตัวไปควบคุมตามสถานีตำรวจต่างๆ
      
       สำหรับ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ หลังสอบปากคำเสร็จ ได้ถูกตำรวจอรินทราชนำตัวมาที่ สน.เตาปูน เมื่อเวลา 01.00 น.วันที่ 23 พ.ย. โดยสวมเสื้อยืดสีขาว กางเกงขายาวสีกากี มีท่าทางอิดโรยอย่างเห็นได้ชัด
      
       แหล่งข่าวระดับสูง กล่าวว่า จากการสอบสวนผู้ต้องหาทั้งหมดให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา โดยก่อนหน้านี้เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนได้ทำการตรวจค้นบ้านพักของผู้ต้องหาทั้ง 8 คน พบพยานหลักฐานมากมาย โดยเฉพาะในบ้านพักของ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ที่มีอยู่ 4-6 หลัง พบเงินสดซุกซ่อนอยู่นับพันล้านบาท ทรัพย์สินอื่น อาทิ พระพุทธรูปบูชาหายาก กว่า 100 องค์ พระเครื่องชื่อดังจำนวนหลายพันองค์ โฉนดที่ดินจำนวนมาก ซึ่งเจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างการตรวจสอบที่มาที่ไปของโฉนดที่ดินเหล่านี้ รวมมูลค่าทรัพย์สินที่ยึดได้ร่วม 1 หมื่นล้าน
      
       ขณะเดียวกันมีรายงานว่า วันนี้(23 พ.ย.) พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผบ.ตรได้มีคำสั่ง ตร.ที่ 632/2557 ลงวันที่ 23 พ.ย.2557 เรื่องให้ข้าราชการตำรวจออกจากราชการไว้ก่อน โดยคำสั่งดังกล่าวระบุว่า อาศัยอำนาจตามมาตรา 95 พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2547 ประกอบกฎ ก.ตร.ว่าด้วยการสั่งพักราชการและให้ออกจากราชการไว้ก่อน พ.ศ.2547 ข้อ 8 จึงมีคำสั่งให้ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธ์ ผบช.ก.ปฏิบัติราชการ ศปก.ตร. พล.ต.ต.โกวิทย์ วงศ์รุ่งโรจน์ รอง ผบช.ก.ปฏิบัติราชการ ศปก.ตร. พล.ต.ต.บุญสืบ ไพรเถื่อน ผบก.รน.ปฏิบัติราชการ ศปก.ตร. พ.ต.อ.วุฒิชาติ เลื่อนสุคันธ์ ผกก.4 บก.ปคบ. ด.ต.สุรศักดิ์ จันทร์เงา ผบ.หมู่ กก.ปพ.บก.ป. ด.ต.ฉัตรินทร์ เหล่าทอง ผบ.หมู่ กก.ปพ.บก.ป. ออกจากราชการไว้ก่อน ทั้งนี้ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
      
       อนึ่ง ผู้ถูกสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อนตามคำสั่งนี้มีสิทธิ์อุทธรณ์ต่อ ก.ตร.ตาม พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2547 มาตรา 105 ภายใน 30 วัน นับแต่วันทราบคำสั่งและประสงค์จะฟ้องโต้แย้งคำสั่งหรือวินิจฉัยอุทธรณ์นี้ ให้ทำคำฟ้องเป็นหนังสือยื่นต่อศาลปกครองหรือส่งไปทางไปรษณีย์ลงทะเบียนภายใน 90 วัน นับแต่วันที่รับแจ้งหรือรับทราบคำวินิจฉัยอุทธรณ์ นับแต่วันที่ผู้ฟ้องคดีได้มีหนังสือขอรับผลการวินิจฉัยอุทธรณ์
      
       มีรายงานว่า ในวันที่ 24 พ.ย.2557 พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผบ.ตร. จะมีคำสั่งตั้งกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรงกับนายตำรวจทั้ง 6 นายด้วย

ผบ.ทบ.' สั่งล่าไอ้โม่งโปรยใบปลิว โจมตี คสช.



อุดมเดช สั่งล่าไอ้โม่งโปรยใบปลิว โจมตี คสช. หวั่นเกิดลอกเลียนแบบ ขยายวงกว้าง ไม่ติดใจ นศ.ชู 3 นิ้ว วอนผู้ปกครอง-อาจารย์ ทำความเข้าใจ
วันที่ 23 พ.ย. ที่กรมการขนส่งทหารบก พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมและผู้บัญชาการทหารบก ให้สัมภาษณ์ก่อนเดินทางไปเป็นประธานในพิธีพระราชทานเพลิงศพนายทหารที่เสีย ชีวิตจากเหตุเฮลิคอปเตอร์ตก ถึงกรณีที่มีการโปรยใบปลิวโจมตีการทำงานของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และรัฐบาลว่า ตนได้รับรายงาน ขณะนี้ให้ทางเจ้าหน้าที่ตรวจสอบในเรื่องดังกล่าวแล้ว
ทั้งนี้ ถือเป็นข้อคิดเห็นของคนที่ยังไม่เข้าใจต่อการทำงานของรัฐบาล แต่อยากฝากไปว่าสิ่งต่างๆ เหล่านี้ ให้ช่วยกันทำความเข้าใจในเรื่องที่ผ่านมา จริงๆแล้วการดำเนินงานของรัฐบาลเป็นไปตามขั้นตอนตามที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. ได้ระบุไว้ เพราะฉะนั้นทุกส่วนน่าจะเข้าใจและช่วยกันประคับประคองเหตุการณ์ ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร เพียงแต่ต้องให้ความสนใจว่ามีความคิดเห็นอะไรอย่างไร จากการตรวจสอบบางจุดก็เป็นเรื่องของนักศึกษา ตรงนี้ก็ต้องดูว่ามีผู้ที่เกี่ยวข้องลึกลงไปหรือไม่
"ถ้าหากเป็นเยาวชน นิสิต นักศึกษา ก็ฝากไปยังผู้ปกครอง ครูบาอาจารย์ ได้ช่วยกันทำความเข้าใจด้วย ถือว่าเป็นวัยที่บริสุทธิ์ เพราะนิสิต นักศึกษา อยู่ในวัยที่น่าจะได้รับการชี้แจง คำแนะนำ เพราะผมอยากให้น้องๆ นักศึกษา มีความเข้าใจที่ถูกต้อง อยากให้ช่วยกันประคับประคองให้การดูแลชาติของรัฐบาลเป็นไปตามขั้นตอน และสุดท้ายเราก็จะมีรัฐบาลที่ถูกต้องในโอกาสต่อไป สมกับที่ทุกคนได้หวังไว้ ทางรัฐบาล ทหาร และผมในฐานะที่เป็นผู้บัญชาการทหารบก อยากให้เป็นเช่นนั้น"
พล.อ.อุดมเดช กล่าวต่อว่า เป็นความปรารถนาดี ไม่อยากให้มีอะไรเกิดขึ้นระหว่างทาง สิ่งที่เกิดขึ้นจะมีผู้อยู่เบื้องหลัง ต้องการให้เกิดการต่อต้านที่ค่อยเป็นค่อยไปและใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ หรือไม่ ถ้าเป็นเช่นนั้น อยากให้กลับไปคิดดูว่า ท่านกำลังทำให้ประเทศชาติไม่สามารถยืนหยัดในประชาคมโลกได้ และประเทศไทยจะถอยหลังไปอีก ในส่วนนี้ก็คงต้องมีการติดตามสืบสวน สืบหาและใครก็ตามที่อยู่ในข่ายที่จะทำความผิดในด้านกฎหมาย ก็ต้องดำเนินการ
เมื่อถามว่า ในส่วนของภาพยนตร์ “ฮังเกอร์เกมส์” ที่กำลังเข้าฉายอยู่ จนทำให้นักศึกษานำมาแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ จะดำเนินการอย่างไร พล.อ.อุดมเดช กล่าวว่า ก็ไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่อะไรมาก ถือเป็นการแสดงออกเล็กน้อย แต่ก็ไม่เหมาะสม และจะเป็นการเลียนแบบอย่างไรต่อไป ต้องช่วยกันดูแล ทำความเข้าใจเดินหน้าด้วยดี อย่าให้สะดุด และขยายวงกว้างออกไปก็จะเกิดความเรียบร้อย เมื่อถามว่า มีข้อมูลว่าการโปรยใบปลิวมีคนอยู่เบื้องหลังจริง
พล.อ.อุดมเดช กล่าวว่า กำลังตรวจสอบอยู่ว่าจะมีเช่นนั้นหรือไม่ ก็อยากจะขอร้องว่าอย่าทำเลย เพราะตนต้องเข้ามาดูแล ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กก็ตาม เพราะตนให้ความสนใจและต้องดูแลในรายละเอียดต่อไป เมื่อถามต่อว่า ห่วงหรือไม่ว่าจะเกิดการลอกเลียนแบบจากพื้นที่หนึ่งไปยังอีกพื้นที่หนึ่ง พล.อ.อุดมเดช กล่าวว่า ก็เป็นไปได้ แต่ไม่อยากให้เป็นเช่นนั้น จึงขอร้องกันให้ทำความเข้าใจ รัฐบาลได้ประคับประคองสถานการณ์จนทุกคนรู้สึกว่าประเทศมีความปกติทุกอย่าง แล้วจะทำให้ความไม่เรียบร้อยเกิดขึ้นมาอีกทำไม
เมื่อถามว่า นายกฯ เตรียมจะลงพื้นที่ภาคเหนือ มีการดูแลความปลอดภัยอย่างไร เพราะมีการพ่นสเปรย์ต่อต้าน รวมถึงการชู 3 นิ้ว ในระหว่างที่ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เข้าร่วมประชุมหอการค้าทั่วประเทศ ที่ จ.เชียงราย พล.อ.อุดมเดช กล่าวว่า ได้กำชับไปยัง พล.ท.สาธิต พิธรัตน์ แม่ทัพภาคที่ 3 ให้ดูแลความเรียบร้อยแล้ว

คุมตัว “พงศ์พัฒน์” และพวก ฐานทำเสื่อมพระเกียรติแสวงหาผลประโยชน์ เผย “อัครวุฒิ์” พยายามฆ่าตัวตาย 3 ครั้งก่อนกระโดดตึก

คุมตัว “พงศ์พัฒน์” และพวก ฐานทำเสื่อมพระเกียรติแสวงหาผลประโยชน์ เผย “อัครวุฒิ์” พยายามฆ่าตัวตาย 3 ครั้งก่อนกระโดดตึก
ภาพพล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธ์ อดีตผบช.ก.ขณะถูกควบคุมตัวไปสอบปากคำ

คุมตัว “พงศ์พัฒน์” และพวก ฐานทำเสื่อมพระเกียรติแสวงหาผลประโยชน์ เผย “อัครวุฒิ์” พยายามฆ่าตัวตาย 3 ครั้งก่อนกระโดดตึก
1. พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ ผบช.ก.และ พล.ต.ต.โกวิทย์ วงศ์รุ่งโรจน์ รอง ผบช.ก.ปฏิบัติราชการ ศปก.ตร. ในความผิดฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพตามประมวลอาญา มาตรา 112

คุมตัว “พงศ์พัฒน์” และพวก ฐานทำเสื่อมพระเกียรติแสวงหาผลประโยชน์ เผย “อัครวุฒิ์” พยายามฆ่าตัวตาย 3 ครั้งก่อนกระโดดตึก
พ.ต.อ.อัครวุฒิ์ หลิมรัตน์ อดีต ผกก.1 บก.ป. (แฟ้มภาพ)

โฆษก ตร.ยันคุมตัว “พงศ์พัฒน์” และพวก ฐานทำเสื่อมพระเกียรติ แสวงหาผลประโยชน์มิชอบ อ้างการสอบสวนผู้ต้องหาให้การรับสารภาพแล้ว เตรียมนำตัวฝากขังพรุ่งนี้ เตรียมแถลงโชว์หลักฐานทำผิด เผย “พ.ต.อ.อัครวุฒิ์” ให้ข้อมูลแล้วก็ไปกระโดดตึกฆ่าตัวตาย พยานเผยพยายามฆ่าตัวตายแล้ว 3 ครั้ง
      
       วันนี้ (23 พ.ย.) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผู้ช่วย ผบ.ตร.) รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (รรท.ผบช.ก) และโฆษก ตร.เปิดเผยว่า มีการขออนุมัติหมายจับกุม พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ ผบช.ก.ช่วยราชการศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปก.ตร.) พร้อมตำรวจอีก 6 นาย และพลเรือนอีก 3 คน รวมทั้งหมด 10 คนในข้อหาความผิดคดีอาญาจริง โดยขณะนี้ควบคุมตัว พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์และพวกรวม 8 คนไว้แล้ว มีแจ้งข้อหาและรับทราบข้อกล่าวหาแล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างควบคุมตัวเพื่อทำการสอบสวนและจะนำตัวไปรายงานตัวฝากขังต่อ ศาลอาญาในวันที่ 24 พ.ย.นี้ ส่วนพลเรือนอีก 2 คน คือ นางสวงค์ มุ่งเที่ยง และนายเริงศักดิ์ ศักดิ์ณรงค์ นั้นยังจับกุมไม่ได้ อยู่ระหว่างสืบสวนติดตาม
      
       พล.ต.ท.ประวุฒิกล่าวด้วยว่า จากการสืบสวนสอบสวนมีพยานหลักฐานว่า มีการกระทำอันทำให้เสื่อมเสียพระเกียรติเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ในทางมิชอบ ซึ่งรายละเอียดพฤติการณ์การกระทำผิดจะมีการแถลง เปิดเผยหลักฐานต่อสื่อมวลชนอย่างละเอียดอีกครั้งในเร็วๆ นี้ จากการสอบสวนทั้งหมดให้การรับสารภาพตามข้อกล่าวหา
      
       พล.ต.ท.ประวุฒิกล่าวว่า สำหรับ พ.ต.อ.อัครวุฒิ์ หลิมรัตน์ อดีต ผกก.1 บก.ป.นั้น จากการสืบสวนพบว่าอยู่ในขบวนการเดียวกันร่วมกระทำความผิด ก่อนหน้านี้มีการเชิญตัวมาให้ข้อมูลแล้ว ให้ความร่วมมืออย่างดี ให้การเป็นประโยชน์ แต่ขณะนั้นยังไม่มีการขออนุมัติหมายจับด้วยเห็นว่าเป็นนายตำรวจระดับสูงจึง ยังไม่ควบคุมตัวไว้ กระทั่งต่อมาทราบว่าหลัง พ.ต.อ.อัครวุฒิ์ให้ข้อมูลแล้วก็ไปกระโดดตึกฆ่าตัวตาย ด้วยความเครียดและเกรงกลัวถูกดำเนินคดี ทรายภายหลังว่าก่อนเข้าให้ข้อมูลนั้น พ.ต.อ.อัครวุฒิ์เครียดมากและมีพยานยืนยันว่าพยายามฆ่าตัวตายถึง 3 ครั้ง มีการเขียนข้อความลาตายไว้ด้วย
       

วันศุกร์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

สาวงามจากเวทีประกวด "นางสาวไทย ประจำปี 2557" อวดโฉมคว้ารางวัล รอบสื่อมวลชน














เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน ที่โรงละครอักษรา คิง เพาเวอร์ สมาคมนักเรียนเก่าวชิราวุธวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ร่วมกับ บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) จัดการประกวดนางสาวไทย ประจำปี 2557 รอบสื่อมวลชน เปิดโอกาสให้ช่างภาพและสื่อมวลชนร่วมโหวตหาสาวงามเพื่อครองตำแหน่ง "ขวัญใจช่างภาพสื่อมวลชน" ชิงรางวัลเงินสด 100,000 บาท และสายสะพาย พร้อมร่วมเป็นสักขีพยานในการประกาศผล "นางงามขวัญใจมหาชน" จากการโหวตของประชาชนทั่วประเทศ

ผลปรากฏว่า นางงามขวัญใจมหาชน โดย บมจ.เมืองไทยประกันชีวิต เป็นของหมายเลข เอ็มที 22 น.ส.ฬิษา สุวรรณเกษการ อายุ 23 ปี ชั้นปี 4 คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล จ.นครปฐม, นางงามมิตรภาพ โดย บริษัท คราวน์ เทค แอดวานซ์ จำกัด เป็นของหมายเลข เอ็มที 21 น.ส.คเณพร อินต๊ะมูล อายุ 25 ปี ปริญญาตรีคณะเกษตรศาสตร์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยนเรศวร จ.พิษณุโลก และรางวัลขวัญใจช่างภาพสื่อมวลชน น.ส.พิมพ์ชนก จิตชู หมายเลขเอ็มที 14 อายุ 23 ปี ปริญญาตรีคณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ จ.สมุทรปราการ

สำหรับการประกวดรอบตัดสินจะจัดขึ้นในวันที่ 22 พฤศจิกายน เวลา 17.00-22.30 น. ณ โรงละครอักษรา คิง เพาเวอร์ และรับชมการถ่ายทอดสดเวลา 20.50-22.40 น. ทางโมเดิร์นไนน์ทีวี




เหล่าสาวงาม

เบอร์ 18 ร้อยตรีหญิง กัญญ์ณณัฐ พรนิพัทธ์กุล รางวัล Miss Think Positive
เบอร์ 16  นางสาว รินทร์ลภัส วีระชัยวงศ์ รางวัล Miss Intelligent
เบอร์ 14 นางสาว พิมพ์ชนก จิตชู รางวัล Miss B-ing Glutta และ ขวัญใจช่างภาพสื่อมวลชน
เบอร์ 3  นางสาว ชลิดา กล่ำปาน รางวัลนางงามผิวสวย By That′s so
เบอร์ 21 นางสาว คเณพร อินต๊ะมูล รางวัลนางงามมิตรภาพ
เบอร์ 22 นางสาว ฬิษา สุวรรณเกษการ รางวัลนางงามขวัญใจมหาชน





สะพัด! เจ้าสัวธนินท์ฮุบ"โลตัส"เผยคุยแบงก์แล้วเล็งกู้เงินยื่นข้อเสนอ ชี้ชัดเชื่อมั่นศักยภาพค้าปลีกไทย




รอยเตอร์อ้างแหล่งข่าวเผยเจ้า สัวธนินท์คุยแบงก์เล็งยื่นข้อเสนอขอซื้อโลตัสคืนจากเทสโก้ที่มีสาขาใน ไทย1,734แห่ง หรือ 3 ใน 4 ของสาขาทั้งหมดในเอเชีย ชี้เป็นการเน้นย้ำถึงความเชื่อมั่นในศักยภาพการเติบโตของธุรกิจค้าปลีกและ เศรษฐกิจไทย แม้ตกอยู่ท่ามกลางความกดดันทางการเมือง


เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานอ้างแหล่งข่าวว่า นายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานกรรมการและประธานคณะผู้บริหารเครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) กำลังพิจารณาว่าจะซื้อธุรกิจค้าปลีกซุปเปอร์มาร์เก็ตโลตัส ที่ปัจจุบันนี้มีมูลค่าอยู่ราว 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 320,000 ล้านบาท) กลับคืนมา หลังจากขายกิจการให้กับบริษัท เทสโก้ ของประเทศอังกฤษไปเมื่อปี 2537

แหล่งข่าวที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับเรื่องนี้ เปิดเผยว่า นายธนินท์อยู่ระหว่างการพูดคุยอย่างไม่เป็นทางการกับธนาคารของไทยแห่งหนึ่ง เพื่อศึกษาถึงความเป็นไปได้ในการหาเงินทุนยื่นข้อเสนอซื้อเทสโก้โลตัสที่มีสาขาในไทย 1,737 แห่ง คิดเป็นเกือบ 3 ใน 4 ของจำนวนสาขาทั้งหมดที่มีอยู่ในเอเชีย

รอยเตอร์ระบุว่า การเคลื่อนไหวนี้แสดงให้เห็นถึงความโดดเด่นในรูปแบบการทำธุรกิจของนายธนินท์ และเป็นการเน้นย้ำให้เห็นถึงความเชื่อมั่นที่มีต่อโอกาสในการเติบโตของภาคธุรกิจค้าปลีกและเศรษฐกิจไทย ซึ่งตกอยู่ภายใต้แรงกดดันจากความไม่สงบทางการเมือง โดยเทสโก้โลตัสถือเป็นธุรกิจค้าปลีกที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของไทยรองจากบริษัท สยามแม็คโคร จำกัด

"ข้อเสนอซื้อจะทำผ่านซีพี ซึ่งเป็นพันธมิตรทางธุรกิจแต่เดิมของเทสโก้เมื่อ 2 ทศวรรษที่แล้ว" แหล่งข่าวที่ขอไม่เปิดเผยชื่อเนื่องจากการเจรจายังเป็นความลับกล่าว และว่า วาณิชธนกิจหลายแห่งได้ติดต่อนายธนินท์เพื่อเสนอให้ความช่วยเหลือด้านการเงินและคำปรึกษาในการยื่นข้อตกลงเสนอซื้อดังกล่าว

รอยเตอร์รายงานว่าด้านโฆษกของซีพีในกรุงเทพฯระบุว่าไม่ทราบในเรื่องแผนการเกี่ยวกับเทสโก้แต่อย่างใด ขณะที่เทสโก้ปฏิเสธที่จะแสดงความคิดเห็น ด้านแหล่งข่าวหลายรายปฏิเสธที่จะยืนยัน โดยระบุว่าการหารือยังคงเป็นความลับ

ทั้งนี้ นายเดฟ ลูอิส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ) คนใหม่ของเทสโก้ ที่เพิ่งจะเข้ารับตำแหน่งได้ไม่ถึง 3 เดือน กำลังต้องต่อสู้กับเรื่องอื้อฉาวทางบัญชีและยอดขายที่ตกต่ำลงในประเทศอังกฤษ โดยเทสโก้ที่มูลค่าหุ้นร่วงลง 42 เปอร์เซ็นต์ในปีนี้ ยังไม่ได้ประกาศแผนที่จะออกจากตลาดในเอเชียแต่อย่างใด ทว่า 80 เปอร์เซ็นต์ของกำไรในช่วงครึ่งปีแรกต้องหมดไปกับการนำมาจ่ายดอกเบี้ย โดยเทสโก้ยังอาจจะต้องถูกบังคับให้ขายสินทรัพย์มาจ่ายหนี้เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกลดอันดับความน่าเชื่อถือลงมาอยู่ในระดับ"ขยะ"

อย่างไรก็ตามรอยเตอร์ระบุว่านายธนินท์อาจต้องเผชิญกับคู่แข่งที่เป็นมหาเศรษฐีชาวไทยหลายราย หากเทสโก้ตัดสินใจที่จะขายธุรกิจ ทั้งนี้ ยังไม่ชัดเจนว่ามีรายอื่นที่สนใจจะยื่นข้อเสนอขอซื้อเทสโก้ด้วยหรือไม่

ไม่น่าเชื่อ! มนุษย์โบราณเข้าฝัน ขุดเจอโครงกระดูก 19 ร่าง



เกิดเรื่องประหลาดในหมู่บ้านที่ชัยบาดาล จ.ลพบุรี วิญญาณมนุษย์โบราณทยอยมาเข้าฝันให้ชาวบ้านขุดหลุม บอกอยู่มานาน 2,700 ปี แล้วอยากไปผุดไปเกิด แปลกที่ขุดไปตามฝันตรงไหนก็เจอตรงนั้น จนมีโครงกระดูกแล้วถึง 19 โครง
เมื่อวันที่ 22 พ.ย. ผู้สื่อข่าวเดินทางไปยังหมู่บ้านสำราญชัย ม.8 ต.หนองยายโต๊ะ อ.ชัยบาดาล จ.ลพบุรี หลังจากว่ามีการขุดพบโครงกระดูกมนุษย์สมัยโบราณจำนวนมาก พบชาวบ้านหลายสิบคนกำลังเดินดูโครงกระดูกมนุษย์ที่อยู่ในหลุม ความลึกประมาณ 2 เมตร พร้อมกับจุดธูปเทียนกราบไหว้ เพื่อขอโชคลาภและความเป็นสิริมงคล
จากการเปิดเผยของ นายหาญ เมาเรณู อายุ 52 ปี และนางอุ่น เมาเรณู อายุ 51 ปี สามีภรรยา อยู่บ้านเลขที่ 19/1 หมู่ 8 ต.หนองยายโต๊ะ อ.ชัยบาดาล ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินที่มีการขุดพบโครงกระดูกมนุษย์ กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ เมื่อประมาณ 4-5 เดือนที่ผ่านมา นางนุสรา ช่วยดับโรค อายุ 52 ปี ซึ่งเป็นญาติของตน เกิดป่วยไม่มีเรี่ยวแรง ต้องล้มหมอนนอนเสื่อ เดินไม่ไหวไปไหนมาไหนไม่ได้โดยไม่ทราบสาเหตุ นำตัวไปรักษาที่โรงพยาบาลอาการก็ไม่ดีขึ้น ญาติพี่น้องจึงไปเชิญ นายทองจิต อุนาสี อายุ 43 ปี ขาว อ.โซ่พิสัย จ.บึงกาฬ ซึ่งเป็นหมอพื้นบ้านมารักษาทางคุณไสย หลังจากนั้นเพียง 3 วัน นางนุสรากลับมีอาการดีขึ้น จนหายเป็นปกติอย่างไม่น่าเชื่อ
สองผัวเมียเจ้าของที่ดิน เล่าต่อว่า ในช่วงที่นายทองจิตหมอพื้นบ้าน เดินทางมารักษาอาการป่วยและนอนพักแรมที่ในหมู่บ้านนั้น ได้เล่าให้ชาวบ้านและตนฟังว่ามีคนโบราณชื่อว่า ปู่มี มาเข้าฝันว่าให้ช่วยขุดและนำสังขารโครงกระดูกที่ฝังอยู่ใต้ดิน อายุประมาณ 2,700 ปีขึ้นมาที เพราะต้องการไปเกิดใหม่ พร้อมกันนั้น ปู่มียังบอกจุดที่ฝังโครงกระดูกว่าอยู่ที่ใต้ต้นสะเดา ลึกลงไปในดิน 3 ศอก 2 คืบ ซึ่งอยู่ในที่ดินติดกับบ้านของตน บริเวณริมคลองลำสนธิ เนื้อที่ประมาณ 1 ไร่เศษ จากนั้นนายทองจิตรวมทั้งตน ญาติพี่น้องและชาวบ้านหลายคน จึงไปตรวจสอบยังจุดใต้ต้นสะเดาตามฝันที่ปู่มีบอก เมื่อไปถึงพบว่าทุกคนมีอาการขนลุกตัวชาเหมือนปู่มีมาบอกว่าอยู่ตรงจุดนี้ แหละ
"นายทองจิตและชาวบ้านจึงได้ตกลงใจลงมือขุดตามความฝัน โดยคิดว่าหากพบจริงก็จะได้กุศลทำบุญให้ดวงวิญญาณไปเกิดใหม่ โดยลงมือขุดเมื่อวันที่ 5 ก.ค. 57 ที่ผ่านมา มีการจุดธูปเทียนบวงสรวงบอกกล่าววิญญาณปู่มีและเจ้าที่เจ้าทาง หลังจากขุดไปครึ่งวันจึงพบโครงกระดูกตามคำฝันที่ปู่มีบอกไว้จริงๆ ชาวบ้านจึงพยายามขุดแบบรักษาสภาพโครงกระดูกไว้ให้สมบูรณ์ที่สุด และโครงกระดูกที่พบคาดว่าน่าจะเป็นเพศชายความสูง 185 ซม. ที่ใกล้โครงกระดูกยังพบเศษกระเบื้องหม้อดินถ้วยชามและขวานหิน ชาวบ้านได้ช่วยกันนำสังกะสีมาทำหลังคาคลุมหลุมกันแดดกันฝน และนิมนต์พระมาสวดอภิธรรม เพื่ออุทิศบุญกุศลให้กับดวงวิญญาณติดต่อกันหลายวัน ต่อจากนั้นจึงแจ้งให้เจ้าหน้าที่กรมศิลป์ จ.ลพบุรี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาตรวจ ซึ่งพบว่ามีอายุประมาณ 2,700 ปี"
ด้านนายทองจิต อุนาสี หมอพื้นบ้าน กล่าวว่า หลังจากนั้นไม่นานก็มีวิญญาณมนุษย์โบราณมาเข้าฝันให้ขุดสังขารโครงกระดูก ขึ้นมาเพื่อไปเกิดใหม่เป็นระยะติดต่อกันรวม 14 หลุม ซึ่งแต่ละหลุมก็พบโครงกระดูก 1-4 ร่าง ซึ่งจนปัจจุบันนี้มีโครงกระดูกที่ขุดพบแล้วจำนวน 19 โครง หากมีวิญญาณมาเข้าฝันบอกอีกก็คงขุดเพิ่มไปเรื่อยๆ และอาจมีจำนวนมากกว่านี้ แต่ที่ชาวบ้านประหลาดใจมากที่สุด คือการขุดหาโครงกระดูกตามความฝันนั้น ไม่เคยพลาดแม้แต่ครั้งเดียวคือต้องพบทุกครั้ง ซึ่งเป็นสิ่งเหลือเชื่อจริงๆ
อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ แม้ว่าหน่วยงานราชการจะไม่ให้ความสำคัญ แต่พวกตนก็จะช่วยกันอนุรักษ์โครงร่างกระดูกมนุษย์โบราณเหล่านี้ไว้ ถือว่าเป็นการสร้างบุญกุศล และเพื่อต้องการส่งเสริมให้เป็นแหล่งศึกษาค้นคว้าแก่เยาวชนรุ่นลูกรุ่นหลาน หรือชาวบ้านที่ให้ความสนใจในอนาคตต่อไป โดยขณะนี้ชาวบ้านสำราญชัยได้ร่วมกันจัดตั้งเป็นชมรมสามัคคีธรรมขึ้นมา เพื่อช่วยกันดูแลและพัฒนา ส่งเสริมให้บริเวณพื้นที่นี้เป็นแหล่งท่องเที่ยวด้านวัฒนธรรม และโบราณวัตถุตามภูมิปัญญาพื้นบ้าน ซึ่งส่วนใหญ่จะได้รับความช่วยเหลือจากคนที่ทราบข่าว และเดินทางมาเที่ยวชม ได้บริจาคสิ่งของสังกะสี ไม้ ปูน อิฐบล็อก และอื่นๆ ก่อสร้างเป็นโครงหลังคาคลุมแต่ละหลุมเพื่อกันแดดกันฝน
"ในพื้นที่ตรงนี้จะไม่อนุญาตให้มีการทรงเจ้าเข้าผีเป็นอันขาด เนื่องจากอาจสร้างความวุ่นวาย ส่วนชาวบ้านที่ทราบข่าว แล้วเดินทางมาเที่ยวชมกราบไหว้โครงกระดูกมนุษย์โบราณที่หมู่บ้านสำราญชัย แห่งนี้เพื่อความเป็นสิริมงคล และขอโชคลาภ นำกลับไปตีเป็นเลขเด็ด มีโชคมีลาภกันไปหลายรายแล้วนั้น ถือว่าเป็นความเชื่อส่วนบุคคล" นายทองจิต กล่าว

UN หารือ WHO หาทางสกัดกั้นโรคอีโบลาในแอฟริกา

        เลขาสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ธนาคารโลก (เวิร์ลแบงก์) และผู้อำนวยการองค์การอนามัยโลก (ฮู) หารือร่วมกันเพื่อหาแนวทางสกัดกั้นโรคอีโบลาในแอฟริกา
        ทุกคนเห็นพ้องกันว่าสถานการณ์อีโบลาในแอฟริกาตะวันตก เช่น ไลบีเรียดีขึ้นมาก แต่โอกาสที่จะเอาชนะโรคร้ายนี้ได้ยังอีกไกล ดังนั้น สิ่งจำเป็นในขณะนี้ คือ การเพิ่มบุคลากรทางการแพทย์ อาสาสมัครที่เข้าไปช่วยเหลือผู้ป่วย และการสนับสนุนด้านต่างๆ แก่ประเทศที่ยังมีการแพร่ระบาดรุนแรงอยู่
        นางชาน ผู้อำนวยการองค์การอนามัยโลก ย้ำว่า เป้าหมายของทั้ง 3 องค์กรนี้ คือ การกำจัดโรคอีโบลาให้หมดไปจากทวีปแอฟริกาโดยสิ้นเชิง ซึ่งหมายถึงไม่มีผู้ป่วยอีโบลาเลยแม้แต่คนเดียว
        สำหรับยอดผู้เสียชีวิจากอีโบลาในขณะนี้อยู่ที่ 5,459 คน และผู้ติดเชื้อในขณะนี้มี 15,459 คน

“ลุงตู่” เปิดหัว “อีสานทัวร์” ยังแค่ก้อนหินทับหญ้า

“ลุงตู่” เปิดหัว “อีสานทัวร์” ยังแค่ก้อนหินทับหญ้า

“ลุงตู่” เปิดหัว “อีสานทัวร์” ยังแค่ก้อนหินทับหญ้า

เปิดหัวพื้นที่สีแดงกันไปแล้ว สำหรับ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) หลังพาคณะเสนาบดีชุดลายพราง ไม่ว่าจะเป็น “บิ๊กป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย “บิ๊กหนุ่ย” พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม “บิ๊กนมชง”พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รมว.พาณิชย์ และ “บิ๊กอ้อ” พล.อ.วิลาศ อรุณศรี เลขาธิการนายกรัฐมนตรี มาบุกถ้ำเสือ ฐานเสียงใหญ่ของ “ระบอบทักษิณ”
      
       ตามคิวที่มีกระแสข่าวก่อนหน้านี้ว่า “บิ๊กตู่” เลือกปักหมุดดินแดนหัวเมืองอีสานแห่งนี้ เพราะเป็นจิ๊กซอว์สำคัญตัวหนึ่งในการทำรัฐประหาร หลังพบว่า มีขบวนการจ้องก่อเหตุป่วนเมืองในช่วงการชุมนุมทางการเมืองของ กปปส. ในลักษณะ “ขอนแก่นโมเดล”
      
       เป็นพื้นที่ร้อน ยุทธศาสตร์สำคัญของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เลยเลือกชิมลางเป็นจังหวัดแรกๆ ตรวจเช็กอุณหภูมิหลังจากจับกุมกองกำลังได้ครั้งนั้น ขณะเดียวกัน ยังจะย้อนศรเป็นจังหวัดนำร่อง “ขอนแก่นโมเดล” เป็นจังหวัดแรกในอีสาน ก่อนทัวร์ครั้งต่อๆ ไป
      
       นอกจากนี้ ยังมีกระแสข่าวอีกว่า รัฐบาลต้องการซาวเสียงตัวเอง เพราะสถานการณ์ในปัจจุบันไม่กระเตื้อง ซ้ำร้ายยังอยู่ในช่วงขาลง บรรดาแนวต้านเริ่มขยับปีก ขณะที่แนวร่วมคนกันเองเริ่มถอนหายใจ เช่นเดียวกับผลงานที่ไม่มีอะไรประจักษ์ ตามสภาวะที่คนชักจะเบื่อหน่าย ซึ่งสัญญาณประเภทนี้ไม่ส่งผลดีกับทุกรัฐบาล เลยขอมาหยั่งกระแสกันให้เห็นกับตา
      
       ภาพรวมการเยือนดินแดนหมอแคนครั้งนี้กลับไม่หวือหวา เพราะไม่ได้พักค้างแรม มาแค่เช้าเย็นกลับ ในลักษณะแตะๆ เฉี่ยวๆ เพื่อเช็กกระแสพื้นที่สีแดงเท่านั้น เหมือนลองของกันดู
      
       จะตื่นเต้นหน่อยก็ตอนที่โดนนักศึกษากลุ่ม “ดาวดิน” ของมหาวิทยาลัยขอนแก่น ซึ่งเคยถูกเรียกไปปรับทัศนคติมาแล้ว แฝงตัวมาลูบคมชู 3 นิ้วต่อหน้าต่อตา งานนี้ “บิ๊กตู่” ถึงกับอึ้งกิมกี่ไปครู่ใหญ่ ไม่คาดฝันว่าจะมีใครบุกมาประชิดตัวได้ถึงขนาดนี้ ร้อนถึงทีมงานต้องอารักขากันอุตลุด
      
       แต่กระนั้น ก็ยังมีไหวพริบในฐานะที่เจ็บมาเยอะจนช่ำชอง แอกชั่นเปลี่ยนวิกฤติเป็นโอกาส แก้ปัญหาเฉพาะหน้าโชว์มาดพระเอกไม่เอาเรื่องเอาราว ในฐานะคนไทยด้วยกัน แถมยังหยอดหวานหยอดเปรี้ยวขอคะแนนประชาชนกันใหญ่
      
       จะว่าไป “บิ๊กตู่” ที่ขอนแก่นกับ “บิ๊กตู่” ที่กรุงเทพมหานครราวกับคนละคน
      
       เพราะมาถิ่นอีสานไม่มีลูกดุ เดือด เลือดพล่าน โหวกเหวกโวยวาย เส้นความอดทนต่ำ ตรงข้ามกันกลับยาหอมพี่น้องประชาชนจนเคลิ้ม ดูๆ ไปคล้ายกับนักการเมืองเวลาขึ้นเวทีปราศรัยขอคะแนนชาวบ้านชาวช่องเหมือนกัน
      
       ลีลา คำพูดคำจาไม่เบา มีโชว์ใจปล้ำใจถึง พี่น้องร้องขออะไร “บิ๊กตู่” ทุบโต๊ะเปรี้ยงให้เดี๋ยวนั้น เร็วยิ่งกว่ารถไฟความเร็วสูงเสียอีก แถมยังส่งสัญญาณหลายครั้งหลายคราย้ำวันสามเวลา ไม่เลือกที่รักมักที่ชัง
      
       แต่ดูตามอาการชาวบ้านไม่ค่อยตื้นเต้นเท่าไรถ้าเทียบกับสมัย “นารีปู” น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ออก ทัวร์นกขมิ้น ที่ประชาชนแห่แหนกันมาพรึ่บพรั่บ เรื่องของเรื่องส่วนหนึ่งก็เพราะที่นี่ไม่ใช่ฐานเสียงและยังเป็นถิ่นคู่ ต่อสู้ทางการเมืองขณะที่การลงพื้นที่อื่นๆ ในห้วงวันเดียว หลังจากโดนป่วนในคิวแรก ทีมงานชุดรักษาความปลอดภัยก็ขันน็อตกันใหม่แบบตึงเปี้ยะ ยุงไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอม ห้อมล้อมผู้นำแบบไข่ในหิน
      
       กลัวประวัติศาสตร์ซ้ำรอยแบบวันเดียวสองเด้ง
      
       บรรยากาศทั่วๆ ไป ในตัวเมืองขอนแก่น ไม่ค่อยตื่นเต้นกับการมาของผู้นำรัฐประหาร ส่วนหนึ่งเพราะการประชาสัมพันธ์ที่ “บิ๊กตู่” ขึงขังห้ามเอามาตั้งเอิกเกริก แต่ที่สำคัญคือ ประชาชนส่วนใหญ่เป็นพ่อยกแม่ยก “นารีปู” อดีตนายกรัฐมนตรีที่ถูกเขี่ยพ้นเก้าอี้ เพราะ “บิ๊กตู่” ฉะนั้น นอกจากเฉยๆแล้ว ยังออกอาการเหม็นขี้หน้าเสียด้วยซ้ำ
      
       ผนวกกับห้วงเวลานี้รัฐบาลประกาศกฎอัยการศึกทั่วประเทศเพื่อเป็นยันต์ กันผี การจะเคลื่อนไหวอะไรก็ลำบาก ดังนั้น การที่ม็อบจะเคลื่อนตัวมาแหกปากตะโกนด่าหรือขับไล่ในวเลานี้จึงยากยิ่ง การลงพื้นที่ครั้งนี้จึงดูไม่ได้น่าสนใจอะไรเท่าไรนัก
      
       กลับกันหากเป็นสถานการณ์ปกติ ไม่มียักษ์ถือกระบองอย่างกฎอัยการศึกอยู่ บางที “บิ๊กตู่” อาจจะเจอสภาวะลำบากอย่างที่ “เดอะมาร์ค” นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ สมัยเป็นนายกรัฐมนตรีโดนชาวเหนือชาวอีสานตีวงล้อมจนขยับไปไหนมาไหนยากเย็น เสี่ยงอันตรายทุกที่ก็เป็นได้
      
       ซึ่งวัดกันตามกำหนดการที่ “บิ๊กตู่” ลง ผนวกกับการพูดคุยกับประชาชนทุกพื้นที่ที่มาต้อนรับเป็นระยะเวลาเกิน 10 นาที เหตุผลน่าจะต้องการมาเช็กสถานการณ์ภายหลังตั้งแต่ทำรัฐประหารมามากกว่า
      
       ขณะเดียวกัน การลงพื้นที่ในลักษณะผิวเผินครั้งนี้ ยังไม่สามารถวัดอะไรได้มากมายว่า ปัจจุบันประชาชนฝ่ายตรงข้ามเปิดใจให้ “บิ๊กตู่” บ้างแล้วหรือไม่ กระแสหันเหไปทางใด เพราะปัจจุบันยังเป็นในลักษณะหินทับหญ้าอยู่ หากยกออกก็พร้อมจะงอกเงยขึ้นมาใหม่ ซึ่งตราบใดที่ยังคงกฎอัยการศึกอยู่ยากเหลือเกิน
      
       ดังนั้น หากต้องการวัดกระแสและอุณหภูมิจริงๆ “บิ๊กตู่” ต้องลงมาค้างคืนดูแบบไม่มีกฎอัยการศึกคุ้มครอง เพราะนั่นจะเป็นตัวสะท้อนได้ดีว่า ขณะนี้ลูกตุ้มนาฬิกาเหวี่ยงไปข้างไหนระหว่าง “รัฐบาลทหาร” กับ “ระบอบทักษิณ”
      
       แต่หากจะลงแบบผิวเผินเหมือนเดิม ก็ควรจะเลือกชัยภูมิที่เข้มข้นกว่านี้ วัดความขลังของกฎอัยการศึกได้เป็นอย่างดีไปเลย ไม่ว่าจะเป็น “เชียงใหม่” บ้านเกิด “นายใหญ่” หรือจะเป็น “อุดรธานี” ที่เปรียบกันว่าเป็น “เมืองหลวงเสื้อแดง” ที่มี “ขวัญชัย ไพรพนา” โจกแดงที่เก็บงำความแค้นหลังถูกยิงถล่มเป็นเจ้าถิ่นให้การต้อนรับ
      
       ถ้าแบบนี้พอได้เนื้อได้หนังหน่อย!!
      
       อย่างไรก็ตาม แต่หากรัฐบาลจะหยิบฉวยจากการปั่นป่วนของกลุ่มแนวต้านในการลงพื้นที่ต่างๆ ไปใช้ประโยชน์ให้ตัวเองก็พอมี โดยเฉพาะในช่วงกระแสการเรียกร้องให้ยกเลิกกฎอัยการศึกดังถี่ขึ้น อย่างน้อยสามารถหยิบเหตุผลการเคลื่อนไหวหรือคลื่นใต้น้ำเหล่านี้เอาไปต่อ อายุในการลาวยาวกฎอัยการศึกให้ตัวเองได้

วันพฤหัสบดีที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

เตือนภัย! แก๊งค้าเนื้ออ่อน ใช้สื่อโซเชียล หลอกตบทรัพย์ป๋าแก่



เตือนภัย! แก๊งค้ามนุษย์นำเด็กสาวเป็นเหยื่อล่อ ใช้ช่องทางโซเชียลหลอกป๋าแก่ ฐานะดี ให้ไปเจอก่อนจะไปจบที่โรงแรม จากนั้นจะมีชายฉกรรจ์บุกห้อง กล่าวหาหลอกเด็กมาทำมิดีมิร้าย สุดท้าย ต้องยอมจ่ายเพื่อไม่ให้ถูกดำเนินคดี ...
เมื่อวันที่ 21 พ.ย. ผู้สื่อข่าวรายงานจาก จ.ศรีสะเกษ ว่า นายสุริยะ อมรโรจน์วรวุฒิ รอง ผวจ.ศรีสะเกษ ได้เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการศูนย์ปฏิบัติการป้องกันและปราบปรามการ ค้ามนุษย์จังหวัดศรีสะเกษ ครั้งที่ 1/2558 เพื่อกำหนดนโยบายด้านการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ของกระทรวงต่างๆ และการเตรียมการรองรับในระดับจังหวัด
นายทวีศักดิ์ สิงห์ดง พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดศรีสะเกษ กล่าวว่า ขณะนี้จังหวัดศรีสะเกษได้มีกลุ่มขบวนการค้ามนุษย์ นำเด็กและหญิงสาวออกเสนอค้าประเวณี โดยมีเป้าหมายที่ชายสูงวัยที่มีฐานะทางการเงินดี หรือข้าราชการระดับสูง จากนั้นจะแบล็กเมล์เรียกเอาเงินหรือทรัพย์สินกับผู้ที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์
พัฒนาสังคมฯ กล่าวอีกว่า ขบวนการนี้จะดำเนินการ โดยมีกลุ่มล่อซื้อมาโฆษณาประชาสัมพันธ์โดยใช้ช่องทางโซเชียลมีเดีย เฟซบุ๊ก หรือไลน์ มุ่งเน้นเหยื่อที่เป็นผู้บริหารสถานศึกษา ผู้บริหารหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน องค์กรปกครองส่วนถิ่นท้องถิ่น รวมทั้งข้าราชการทั่วไป ติดต่อมาทางเฟซบุ๊กบ้าง ทางไลน์บ้าง นัดไปกินข้าว แล้วพากันไปในที่ใดที่หนึ่งที่ลับตาคน ก่อนที่จะมีอีกพวกติดตามเข้าไปแบล็กเมล์หรือข่มขู่ เพื่อที่จะเรียกร้องเอาเงิน หากไม่ยอมก็จะดำเนินคดี หรือทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง
"กรณีที่เป็นเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี หรือ 18 ปี ไม่ว่าเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม ผู้กระทำจะมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา ซึ่งขบวนการนี้ได้ใช้ช่องว่างตรงนี้ดำเนินการกับเหยื่อมาแล้วหลายราย บางคนก็กลัวเสียชื่อเสียงตัวเอง ชื่อเสียงของสถาบันหรือหน่วยงาน ไม่อยากจะมีปัญหาในทางกฎหมาย หรือเกิดความอับอาย ก็เลยต้องยอมจ่ายเงินเพื่อปิดคดี อาจจะเป็นหลักแสน หรือหลายๆ แสนบาท" นายทวีศักดิ์ กล่าว
ทั้งนี้ มีรายงานว่า สาเหตุที่เรื่องนี้ถูกหยิบยกขึ้นมาพูดถึง เนื่องจากมีข้าราชการรายหนึ่ง เป็นระดับ ผอ.ซี 8 เพิ่งไปขอกู้เงินจากสหกรณ์ออมทรัพย์ฯ แล้วนัดเด็กสาวไปนั่งกินอาหาร ก่อนจะพากันไปที่โรงแรม ระหว่างที่อยู่กันสองต่อสองในห้อง เด็กสาวได้ขอตัวเข้าไปโทรศัพท์ในห้องน้ำ อ้างว่าจะโทรบอกทางบ้านว่า วันนี้จะนอนค้างบ้านเพื่อน แต่เพียงครู่เดียว ก็มีผู้ชายมาเคาะประตูเรียกด้วยเสียงอันดัง สุดท้าย ผอ.คนดังกล่าวต้องยอมจ่ายเงินไปกว่า 3 หมื่นบาท

สุดดีใจ! สาวใหญ่ชาวอังกฤษออกตามหาแม่คนไทยจนพบ หลังพลัดพรากกันเกือบ 54 ปี


สุดดีใจ! สาวใหญ่ชาวอังกฤษออกตามหาแม่คนไทยจนพบ หลังพลัดพรากกันเกือบ 54 ปี
        ศูนย์ข่าวภูเก็ต - กลั่นน้ำตาแห่งความดีใจเอาไว้ไม่อยู่ เมื่อสาวใหญ่ชาวอังกฤษที่ออกเดินทางตามหาแม่คนไทย หลังจากพลัดพรากกันมาเกือบ 54 ปี จนได้พบหน้ากันเป็นครั้งแรกที่ภูเก็ต เจ้าตัวเผยรู้ว่ามีแม่เป็นคนไทยมาประมาณ 20-30 ปีแล้ว แต่ไม่รู้จะตามหาอย่างไร จนกระทั่งมีโอกาสเดินทางมาเมืองไทยครั้งแรกเมื่อ ก.ย.ที่ผ่านมา ก็ได้สอบถามข้อมูลจากพนักงานโรงแรมที่เกาะพะงัน จนได้รับการช่วยเหลือประสานงานหาข้อมูลให้ และตัดสินใจเดินทางมาอีกครั้งเพื่อตามหาแม่ซึ่งโชคดีที่หาแม่จนเจอท่ามกลาง ความช่วยเหลือของพนักงานโรงแรม และผู้ใหญ่บ้านในพื้นที่พังงา
สุดดีใจ! สาวใหญ่ชาวอังกฤษออกตามหาแม่คนไทยจนพบ หลังพลัดพรากกันเกือบ 54 ปี
        เมื่อเวลา 10.00 น. วันนี้ (21 พ.ย.) นายเชิดชาย ปัทมยุตานนท์ ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 5 ต.บางม่วง อ.ตะกั่วป่า จ.พังงา และนายวัย นุ้ยสง่า ได้นำนาง Kimbeeley Ferreivg ชาวอังกฤษ ที่ออกตามหามารดาชาวไทยหลังพลัดพรากกันเกือบ 54 ปี ซึ่งเดินทางมาพร้อมกับสามี คือ นาย Carlos Alberto Ferreivg ชาวอังกฤษ มาพบกับ นางยกเลื่อน จันทร์แก้ว อายุ 79 ปี ที่บริเวณร้านขายอาหารตามสั่ง ซอยหัชนา 2 ต.รัษฎา อ.เมือง จ.ภูเก็ต หลังจากสืบทราบ ว่า นางยกเลื่อน เป็นมารดาของนาง Kimbeeley Ferreivg ชาวอังกฤษ
สุดดีใจ! สาวใหญ่ชาวอังกฤษออกตามหาแม่คนไทยจนพบ หลังพลัดพรากกันเกือบ 54 ปี
        วินาทีแรกที่ทั้ง 2 พบหน้ากันก็มองหน้ากันอยู่พักหนึ่งด้วยความตะลึง และโผเข้ากอดด้วยความดีใจจนกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่ หลังจากทั้ง 2 คน ก็ได้พูดจาทักทายกันเป็นภาษาอังกฤษ และมีการสอบถามถึงความเป็นอยู่ระหว่างกัน โดยตลอดเวลาที่พูดคุยกันนั้นจะมีการมองหน้า และสวมกอดกันตลอดเวลา หลังจากนั้น นาง Kimbeeley Ferreivg ได้นำสูจิบัตร หรือใบแจ้งเกิดมาให้ นางยกเลื่อน ดู ซึ่งในใบแจ้งเกิดระบุว่า ด.ญ.ตุ๊กตา จันทร์แก้ว คลอดเมื่อวันที่ 13 พ.ย.2503 ที่สถานีอนามัยตะกั่วป่า จ.พังงา และได้มีการพูดคุยกันถึงสาเหตุของการพลัดพราก
สุดดีใจ! สาวใหญ่ชาวอังกฤษออกตามหาแม่คนไทยจนพบ หลังพลัดพรากกันเกือบ 54 ปี
        โดย นางยกเลื่อน ได้บอกแก่นาง Kimbeeley Ferreivg ว่า รูปร่างหน้าตาของของนาง Kimbeeley Ferreivg เหมือนกับพ่อที่แท้จริง ซึ่งเป็นชาวออสเตรเลีย ที่มาทำงานเป็นผู้จัดการเรือขุดแร่ที่ตะกั่วป่า แต่นาง Kimbeeley Ferreivg กลับบอกว่า แก้มของตัวเองเหมือนกับแก้มของนางยกเลื่อน ต่างก็ยกมือจับแก้มกันไปมา ทำให้ทั้งผู้สื่อข่าว และญาติๆ รวมทั้งคนรู้จักต่างก็ตื่นตันใจไปกับทั้ง 2 คนด้วยที่ได้มาเจอกัน หลังจากพลัดพรากกันไปนานถึง 54 ปี
สุดดีใจ! สาวใหญ่ชาวอังกฤษออกตามหาแม่คนไทยจนพบ หลังพลัดพรากกันเกือบ 54 ปี
        นางยกเลื่อน ได้เล่าให้ลูกสาวฟังถึงสาเหตุที่ต้องยกลูกให้เป็นลูกบุญธรรมของชาวต่างชาติ ว่า นาง Kimbeeley Ferreivg เป็นลูกของตนที่เกิดกับผู้จัดการเรือขุดแร่ชาวออสเตรเลีย ซึ่งตอนนั้นตนได้ไปทำงานเป็นแม่บ้านไห้แก่ฝรั่งคนดังกล่าว จนมีความชอบพอ และมีลูกด้วยกัน 1 คน คือ ด.ญ.ตุ๊กตา หรือนาง Kimbeeley Ferreivg ในปัจจุบัน โดยสามีของตนมีภรรยาอยู่แล้ว จึงต้องให้พี่ชายคือ นายเวศ จันทร์แก้ว รับเป็นพ่อของ ด.ญ.ตุ๊กตาแทน หลังจากลูกอายุได้ 6 เดือน มาดามคิม ซึ่งเป็นภรรยาของวิศวกรคุมเรือขุดแร่ที่เป็นเพื่อนกับสามี ขอรับ ด.ญ.ตุ๊กตา ไปเป็นลูก ตอนนั้นตนก็มาคิดดูแล้วว่าตนเป็นคนยากจน ประกอบกับสามีฝรั่งมีภรรยาอยู่แล้ว คงไม่สามารถที่จะเลี้ยงลูกสาวให้อยู่อย่างสบายได้ จึงได้ตัดสินใจยกลูกให้แก่ครอบครัวชาวต่างชาติดังกล่าว ซึ่งทั้ง 2 คนไม่มีลูก และยืนยันว่าจะเลี้ยงดูเป็นอย่างดี ซึ่งตนไม่กังวลเพราะระหว่างที่ทำงานอยู่ด้วยกัน 2 สามีภรรยา รัก ด.ญ.ตุ๊กตา เหมือนลูกอยู่แล้ว หลังจากยกลูกให้แก่ 2 สามีภรรยา ทั้ง 2 คนก็ได้พาลูกสาวออกจากประเทศไทย ซึ่งตนทราบแต่เพียงว่าไปทำงานต่อที่กัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย และไม่ได้มีการติดต่อกันอีกเลย เพราะไม่รู้จะไปสอบถามจากใคร ส่วนตนหลังจากออกจากงานก็เดินทางไปทำงานหลายๆ ที่จนมาอยู่ที่ภูเก็ตในปัจจุบัน
สุดดีใจ! สาวใหญ่ชาวอังกฤษออกตามหาแม่คนไทยจนพบ หลังพลัดพรากกันเกือบ 54 ปี
        นางยกเลื่อน กล่าวต่อไปว่า เมื่อวานนี้ (20 พ.ย.) ได้รับแจ้งจากคนประสานงาน ว่า ลูกสาวจะมาหา ซึ่งตอนนั้นตนก็งงๆ เพราะที่ผ่านมา ตนไม่เคยบอกใครว่าตนมีลูกสาว ยกเว้นลูกชายคนโตที่ทราบอยู่ก่อนแล้วว่ามีน้องสาวต่างพ่อ 1 คน ซึ่งตนคิดว่าเป็นการโทร.มากลั่นแกล้งกัน แต่เมื่อคนประสานงานถามชื่อว่าตนชื่อยกเลื่อน และมีลูกชื่อ ด.ญ.ตุ๊กตา ใช่หรือใหม่ ตนก็ตอบว่าใช่ ก็คิดว่าไม่น่าจะเป็นการหลอกกันแล้ว น่าจะเป็นเรื่องจริง ซึ่งไม่คิดว่าจะได้เจอลูกที่พลัดพรากจากกันไปถึง 54 ปี ตอนนั้นดีใจมาก นั่งคิดว่าลูกจะหน้าตาเป็นอย่างไร
สุดดีใจ! สาวใหญ่ชาวอังกฤษออกตามหาแม่คนไทยจนพบ หลังพลัดพรากกันเกือบ 54 ปี
        จนกระทั่งมีการนัดเจอกันวันนี้ (21 พ.ย.) เมื่อตนเห็นลูกเดินลงจากรถ ตนก็คิดว่าใช่แน่นอน เพราะหน้าตา และรูปร่างของเขาละม้ายคล้ายกับพ่อชาวออสเตรเลีย ซึ่งการได้เจอลูกครั้งแรกในรอบ 54 ปี เป็นเรื่องที่ตนรู้สึกดีใจมาก เพราะคิดว่าชาตินี้คงจะไม่ได้พบกันอีกแล้ว
สุดดีใจ! สาวใหญ่ชาวอังกฤษออกตามหาแม่คนไทยจนพบ หลังพลัดพรากกันเกือบ 54 ปี
        ด้านนาง Kimbeeley Ferreivg กล่าวว่า ตนทราบว่ามีแม่คนไทยมาประมาณ 20-30 ปี ที่ผ่านมา เนื่องจากแม่ที่เลี้ยงดูได้แจ้งให้ทราบก่อนที่ท่านจะเสียชีวิต รวมทั้งมอบหลักฐานต่างๆให้ ซึ่งหลังจากทราบตนก็คิดที่จะออกติดตามหาแม่ที่เป็นคนไทยมาโดยตลอดแต่ไม่รู้ ว่าจะตามหาอย่างไร จนกระทั้งแต่งงาน และมีลูกก็ได้ใช้ชื่อของแม่คนไทย และแม่ที่เลี้ยงดูมาตั้งเป็นชื่อของลูกสาวเพื่อระลึกถึง และเมื่อมีโอกาสเดินทางมาประเทศไทยครั้งแรกเมื่อเดือน ก.ย. ที่ผ่านมา ตนก็ตั้งใจที่จะมาตามหาแม่ โดยติดต่อการเดินทางผ่านเอเยนต์ทัวร์ ซึ่งตอนนั้นตนเข้าใจว่าเกาะพะงัน กับพังงา เป็นที่เดียวกัน จึงเดินทางไปที่เกาะพะงัน เมื่อไปถึงโรงแรมที่พัก คือ โรงแรมสันธิยา เกาะพะงันรีสอร์ท แอนด์สปา ก็สอบถามพนักงานโรงแรมคือ น.ส.กิ่งแก้ว อยู่ภักดี ว่ารู้จักสถานที่ตามใบแจ้งเกิดของตนหรือเปล่า แต่คำตอบที่ได้รับคือ อยู่คนละจังหวัด ทำให้ตนรู้สึกเสียใจเป็นอย่างมากที่เดินทางไปผิดจังหวัด ทำให้ความหวังที่จะได้พบแม่เลือนรางลง
สุดดีใจ! สาวใหญ่ชาวอังกฤษออกตามหาแม่คนไทยจนพบ หลังพลัดพรากกันเกือบ 54 ปี
        แต่ก็โชคดีที่ น.ส.กิ่งแก้ว อยู่ภักดี ให้ความช่วยเหลือ และติดต่อสอบถามข้อมูลต่างๆ ให้หลังจากทราบว่าตนเองต้องการเดินทางมาตามหาแม่ที่พลัดพรากจากกัน โดยให้ความช่วยเหลือทุกอย่าง ทั้งสอบถามไปที่อำเภอ เทศบาล และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จนกระทั่งตนเดินทางกลับไปแล้วก็ยังมีการประสานติดต่อกันอย่างต่อเนื่อง และตนตัดสินใจเดินทางมาตามหาแม่อีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้ตนได้เดินทางมาที่ จ.พังงา เลย และประสานให้ น.ส.กิ่งแก้ว อยู่ภักดี มาช่วยเหลือ ซึ่งเขาก็ยอมลางานมาเพื่อช่วยตนตามหาแม่ รวมทั้งประสานงานกับผู้ใหญ่บ้านในพื้นที่ในการช่วยกันตามหา และโชคดีที่ครั้งนี้ตนสามารถตามหาแม่จนเจอ รู้สึกดีใจมากๆ ที่ได้พบแม่ที่จากกันมานาน
สุดดีใจ! สาวใหญ่ชาวอังกฤษออกตามหาแม่คนไทยจนพบ หลังพลัดพรากกันเกือบ 54 ปี
        ด้าน น.ส.กิ่งแก้ว กล่าวว่า ตนเจอกับนาง Kimbeeley Ferreivg เมื่อเดือนกันยาที่ผ่านมา หลังจากทราบว่าเขามาตามหาแม่ แต่เดินทางมาผิดจังหวัดซึ่งตอนนั้นเขาค่อนข้างจะเสียใจมาก เพราะเขาตั้งใจที่จะเดินทางมาตามหา จึงรู้สึกสงสาร และช่วยติดต่อประสานงานให้ ตอนแรกโทร.ไปสอบถามที่อำเภอตะกั่วป่า ทางอำเภอบอกว่า ตำบลบางม่วงนั้นอยู่ในเขตเทศบาล แนะนำให้ติดต่อไปที่เทศบาลเพื่อแจ้งข้อมูล แต่ทางเทศบาลบอกว่า ข้อมูลบางอย่างเป็นความลับไม่สามารถเปิดเผยได้ ต้องให้เจ้าตัวมาติดต่อเท่านั้น จึงได้มีการประสานกลับไปที่นาง Kimbeeley Ferreivg หลังจากนั้นก็มีการติดต่อเรื่อยมา
สุดดีใจ! สาวใหญ่ชาวอังกฤษออกตามหาแม่คนไทยจนพบ หลังพลัดพรากกันเกือบ 54 ปี
        จนกระทั่งเมื่อเร็วๆ นี้ตนก็ได้รับการประสานจากนาง Kimbeeley Ferreivg ว่าจะเดินทางมาตามหาแม่อีกครั้ง ขอให้ตนลางานมาพบกันที่จังหวัดพังงา ตนก็เลยแจ้งให้หัวหน้างานทราบ และขอลางานมา 3 วัน ตั้งแต่วันที่ 17-19 พ.ย.เพื่อเดินทางมาช่วย Kimbeeley Ferreivg ตามหาแม่ ซึ่งตลอดทั้ง 3 วัน ไปติดต่อทุกที่จนได้ข้อมูลมามากพอสมควร และโชคดีที่ทางเทศบาลประสานไปทางนายเชิดชาย ปัทมยุตานนท์ ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 5 ต.บางม่วง อ.ตะกั่วป่า จ.พังงา เพื่อให้ตนไปหา และสอบถามข้อมูล ซึ่งได้รับการช่วยเหลือจากผู้ใหญ่บ้านเป็นอย่างดี มีการไปสอบถามคนในพื้นที่เกือบทุกบ้านว่า รู้จักนางยกเลื่อน หรือไม่ จนกระทั่งได้ข้อมูลว่านางยกเลื่อน ย้ายมาอยู่แถวเกาะสิเหร่ ต.รัษฎา จ.ภูเก็ต วันที่ 19 พ.ย. จึงเดินทางเข้าภูเก็ต แต่ตามหาไม่เจอ ก็กลับไปตั้งหลักที่พังงาอีกครั้ง ส่วนตนก็ต้องเดินทางกลับไปทำงานต่อ แต่ก็ได้ผู้ใหญ่บ้านที่ช่วยประสานตามหาจนทราบว่า นางยกเลื่อน อยู่ที่ไหน และตามหาจนพบ ซึ่งตนรู้สึกดีใจมากที่แม่ลูกได้พบกัน
สุดดีใจ! สาวใหญ่ชาวอังกฤษออกตามหาแม่คนไทยจนพบ หลังพลัดพรากกันเกือบ 54 ปี
นาง Kimbeeley Ferreivg ตอนอายุ 12 ปี ถ่ายกับพ่อแม่บุญธรรม
        ขณะที่ นายเชิดชาย กล่าวว่า ตัวเองได้รับการประสานจากเทศบาล และอำเภอตะกั่วป่าให้ช่วยตามหานางยกเลื่อน หลังจากได้รับแจ้งก็ออกตามหา จนพบญาติของนางยกเลื่อน ที่บ้านบางม่วง อ.ตะกั่วป่า และทราบว่านางยกเลื่อน ย้ายมาอยู่ที่ภูเก็ต โดยมีลูกชายเป็นไต๋เรือชื่อตุ่ม พอรู้แบบนั้นตนก็เริ่มมีความหวัง เพราะตนก็มีญาติที่เป็นไต๋เรืออยู่ที่ภูเก็ต ก็คิดว่าไม่น่าจะตามหายาก ก็เลยมีการประสานงานต่อกันมาเป็นทอดๆ จนมาเจอกับนายวัย นุ้ยสง่า ซึ่งเป็นคนบ้านบางม่วง จ.พังงา แต่มาอาศัยอยู่ที่ภูเก็ต และรู้จักกับกลูกของนางยกเลื่อน และนายวัย อาสาพาหานางยกเลื่อน ที่ร้านอาหารตามสั่งของลูกชายนางยกเลื่อน จนกระทั่งได้มาพบกันในวันนี้ ซึ่งตนก็รู้สึกดีใจที่สามารถช่วยเหลือตามหาให้แม่ลูกได้พบกัน
สุดดีใจ! สาวใหญ่ชาวอังกฤษออกตามหาแม่คนไทยจนพบ หลังพลัดพรากกันเกือบ 54 ปี
       
สุดดีใจ! สาวใหญ่ชาวอังกฤษออกตามหาแม่คนไทยจนพบ หลังพลัดพรากกันเกือบ 54 ปี