วันเสาร์ที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

เมื่อสวนโมกข์...โดน “หลวงลุงน้ำมันปาล์ม” ยึด

เมื่อสวนโมกข์...โดน “หลวงลุงน้ำมันปาล์ม” ยึด

ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -แน่ นอนว่า “สวนโมกขพลาราม” หรือวัดธารน้ำไหล อำเภอไชยา จังหวัด สุราษฎร์ธานี ในช่วงสองสามเดือนที่ผ่านมามีความคึกคักขึ้นผิดปกติ หลังจากที่ พระสุเทพ ปภากโร หรือ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตเลขาธิการ กปปส.ได้มาจำพรรษา และจำวัดที่นี่อีกครั้ง เพื่อมาปฏิบัติธรรมตามแนวทางของ “พระพุทธทาสภิกขุ” หรือพระธรรมโกศาจารย์ ผู้ก่อตั้ง
      
       เรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้เชื่อว่าหลายคนคงสดับรับรู้ทั่วกัน แล้วจากปากของพระสุเทพเอง รวมไปถึงฟังจากคนใกล้ชิดว่าการเข้ามาบวชในครั้งนี้เป็นไปอย่างกะทันหัน ไม่บอกใคร แม้กระทั่งลูกเมียก็ไม่มีใครรู้ รู้แต่เพียงคนขับรถที่ขับรถพามาส่งที่วัด ท่าไทร อำเภอกาญจนดิษฐ์ จังหวัดสุราษฎร์ธานี เพื่อให้เจ้าคณะจังหวัดสุราษฎร์ธานีบวชให้ จากนั้นก็มาจำพรรษาที่วัดสวนโมกข์ในเวลาต่อมา โดยทางวัดได้จัด “กุฏิสมเด็จ” ซึ่งเคยเป็นที่รับรองพระผู้ใหญ่ เช่น “พระปัญญานันทภิกขุ” ให้เป็นสถานที่จำวัด
      
       หากจำกันได้ เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม ได้เกิดปรากฏการณ์ใหม่เกิดขึ้นที่หน้าวัดสวนโมกข์เมื่อมีขบวนชาวบ้านซึ่ง ส่วนใหญ่เป็นมวลชน กปปส.ที่เคยร่วมชุมนุมทางการเมืองกับ พระสุเทพ ปภากโร เมื่อครั้งที่ยังเป็นเลขาธิการ กปปส.มาร่วมใส่บาตรจำนวนมาก มีขบวนยาวตลอดสองข้างทางกว่าสามกิโลเมตร และนับตั้งแต่นั้นมาบรรยากาศที่วัดสวนโมกข์คึกคัก คลาคล่ำไปด้วย มวลชนที่ชื่นชอบและศรัทธาใน พระสุเทพ ทั้งในเพศฆราวาสหรือในแบบพระภิกษุสงฆ์ รวมไปถึงบรรดาแกนนำคนสำคัญของ กปปส.คนสำคัญในพรรคประชาธิปัตย์ต่างแวะเวียนสับเปลี่ยนกันมาพูดคุยสนทนากัน อย่างต่อเนื่อง
      
       แม้ว่าที่ผ่านมา พระสุเทพ ปภากโร จะย้ำหลายครั้งแล้วว่าจะพูดแต่เรื่องธรรมมะ ยึดมั่นในความสงบ เดินตามแนวทางของพระพุทธทาส หรือแม้แต่ก่อนหน้านี้ ณรงค์ เสมียนเพชร วัฒนธรรมอำเภอไชยา ไวยาวัจกร วัดสวนโมกข์ ก็ได้เคยย้ำให้มวลชนและแกนนำ กปปส.ทุกคนห้ามพูดคุยเรื่องการเมือง ห้ามนำการเมืองเข้ามาในวัดสวนโมกข์ตามที่พระพุทธทาส เคยปฏิบัติเอาไว้ เพราะไม่เช่นนั้นจะเกิดความวุ่นวายผิดเพี้ยนไปจากแนวทาง
      
       อย่างไรก็ดีความเคลื่อนไหวของหลวงลุงสุเทพก็ยังมีอย่างต่อเนื่อง โดยที่ผ่านมาก็ได้เดินทางไปเป็นประธานในงานบุญ งานทอดกฐินตามวัดหรือสถานที่ต่างๆ ทั้งในภาคใต้และภาคเหนือมิได้ขาด โดยเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาเพิ่งเดินทางไปที่จังหวัดพิษณุโลก มีอดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์และผู้บริหารพรรคประชาธิปัตย์และมวลชนในภาคเหนือให้การ ต้อนรับจำนวนมาก
      
       ส่วนที่ภาคใต้ที่สร้างความฮือฮา ก็คือร่วมเป็นประธานในงานทอดกฐินที่วัดเกาะเต่า อำเภอเกาะพะงัน จังหวัดสุราษฎร์ธานี ได้เงินถึงกว่า 8.88 ล้านบาท มากเป็นประวัติการณ์ แต่น่าสนใจไปกว่านั้นก็คือ การเทศนาแบบปราศรัยกลางวงของ “หลวงลุง” ที่ออกหน้าการันตีการทำหน้าที่ของตำรวจที่คลี่คลายคดีฆาตกรรมนักท่องเที่ยว ชาวอังกฤษว่าทำได้ถูกต้องตามขั้นตอน ขณะเดียวกันยังยืนยันถึงความมุ่งมั่นในการทำหน้าที่เพื่อแก้ปัญหาบ้านเมือง ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)และนายกรัฐมนตรี ยึดผลประโยชน์ของบ้านเมืองเป็นหลัก
      
       สอดคล้องกับคำพูดของบรรดาแกนนำกปปส.หรือแม้แต่โฆษกของ กปปส.เอกณัฐ พร้อมพันธุ์ ที่ย้ำว่าจะไม่มีการเคลื่อนไหว จะให้ความร่วมมือกับคสช.และรัฐบาล จนต่อมามีเสียงวิจารณ์ตามมาว่า หลวงลุงกำลังทำหน้าที่ไม่ต่างจากโฆษกค้ำประกันคุณภาพให้กับคณะ คสช.และรัฐบาล รวมทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งที่ผ่านมาเมื่อครั้งที่เป็น สุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาฯกปปส.ก็เคยรับประกันบนเวทีมาแล้วมองคนไม่ผิดว่า “ยืนอยู่ข้างประเทศชาติ”
      
       ในขณะที่เวลานั้นสังคมกำลังตั้งคำถามถึงท่าทีและบทบาทในฐานะผู้นำกองทัพในเรื่องที่จะออกมายืนข้างมวลชน
      
       อย่างไรก็ดี ความเคลื่อนไหวล่าสุดที่เกิดขึ้นในวัดสวนโมกข์ที่เกิดเสียงวิจารณ์ขึ้นมา หลังจาก พระสุเทพ ปภากโร เป็นประธานหรือแสดงบทบาทเสมือนเป็นประธานอุปสมบทหมู่พระภิกษุสามเณรจำนวน 140 รูป รอบแรกเมื่อวันที่ 29 ตุลาคมที่ผ่านมา เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยส่วนใหญ่จะเป็นมวลชนและแกนนำ กปปส.
      
       แม้ว่าตามกำหนดการจะมี พระธรรมวิมลโมลี เจ้าคณะภาค 6 เป็นพระอุปัชฌาย์ แต่ภาพที่เห็นกลายเป็น พระสุเทพ ปภากโร เป็นประธานในพิธีอุปสมบทหมู่ดังกล่าว ก็มีคำถามขึ้นมาอีกว่าเหมาะสมหรือไม่ที่พระที่เพิ่งบวชใหม่เพียงแค่ไม่กี่ เดือนจะมาทำหน้าที่ในพิธีแบบนี้
      
       ดังนั้น ความเคลื่อนไหวในวัดสวนโมกขพลาราม นับตั้งแต่ “หลวงลุงกำนัน” เข้ามาจำวัด ดูเหมือนว่าไม่ได้ “สงบนิ่ง”อย่างที่ตั้งใจไว้ตามแนวทางของ “ท่านพุทธทาส” แต่เท่าที่เห็นล้วนออกมาในโทน “นำคณะเดินสาย”ไปตามสถานที่ต่างๆทั่วประเทศ ยังมีบุคลิก “ผู้นำมวลชน” เพียงแต่ว่ามาในรูปแบบใหม่ ถูกมองว่ายังยึดโยงการเมืองทั้งตัวบุคคลคือ พล.อ.ประยุทธ์ และคณะบุคคลคือ คสช.และรัฐบาลมาอย่างต่อเนื่อง
      
       ภาพที่เห็นจึงช่วยไม่ได้ที่จะมีคนมองว่า หลวงลุง กำลังนำการเมืองเข้าวัดสวนโมกข์ หรืออาจใช้คำว่า “ยึดสวนโมกข์” แม้ว่าในความเป็นจริงอาจจะอีกเรื่องหนึ่ง แต่จากความเคลื่อนไหวที่เห็นมาตั้งแต่ต้นทำให้มองไปทางนั้นได้จริงๆ เพราะดูคึกคัก เร่าร้อนพิกล !!
       

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น