คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น |
|
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา |
|
ณรงค์ชัย อัครเศรณี |
|
|
|
|
ผ่าประเด็นร้อน
เป็นเรื่องต้องลุ้นระทึกอย่างยิ่งกับเสียงยืนยันของ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ณรงค์ชัย อัครเศรณี
ว่าภายในต้นเดือนตุลาคมนี้จะปรับราคาก๊าซแอลพีจีภาคขนส่ง ก๊าซเอ็นจีวี
รวมทั้งราคาน้ำมันดีเซล อ้างว่าเพื่อสะท้อนตามราคาตลาด
ซึ่งถ้าเป็นไปตามคำพูดดังกล่าวจริงรับรองว่า"ภาคขนส่ง"
ราคาสินค้าก็จะต้องออกมาเรียกร้องปรับราคาตามต้นทุนตลาดที่เป็นจริงเหมือน
กัน
ถึงตอนนั้นรับรองว่าจะต้องมีการเคลื่อนไหวหลายอย่างตามมาแน่
ดังนั้นได้แต่หวังว่าจะมีการระงับยับยั้ง หาทางผ่อนคลายไปได้ด้วยดี
เพราะถ้ายังเดินหน้าตามกำหนดนอกจากชาวบ้านจะต้องเดือดร้อนจากภาระค่าใช้จ่าย
ค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้นแล้ว คนที่ต้องเหนื่อยหนักก็ต้องเป็นรัฐบาล
และคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พล.อ.ประยุทธ์
จันทร์โอชา นั่นแหละ
จะต้องเจอแรงกระแทกอย่างหนักชนิดที่ไม่เคยเจอมาก่อนก็แล้วกัน
ดังนั้นได้แต่หวังว่าเมื่อถึงเวลามันจะไม่เกิดขึ้นจริง !!
สำหรับเรื่องการปรับขึ้นราคาพลังงาน
โดยเฉพาะราคาน้ำมันดีเซลที่เวลานี้ยังขาดอีกหนึ่งหรือสองสตางค์เท่านั้นที่
ราคายังไม่ทะลุลิตรละ 30 บาท
เหมือนกับอั้นกันเต็มพิกัดเพื่อไม่ให้ผิดเงื่อนไขของบรรดาผู้ประกอบธุกิจ
ต่างๆโดยเฉพาะภาคขนส่ง ทั้งรถและเรือโดยสาร
ที่เคยมีข้อกำหนดกันไว้ก่อนมานานแล้วว่า
หากราคาน้ำมันดีเซลปรับทะลุเกินมาดังกล่าวจะต้องพาเหรดขึ้นราคากันทันที
ซึ่งเวลานี้ก็เริ่มมีการขยับเคลื่อนไหวกันแล้ว ทั้งผู้ประกอบการรถทัวร์
เรือโดยสารทั้งในคลองแสนแสบและเรือด่วนในแม่น้ำเจ้าพระยา
แต่ที่ไม่รอใครก็คือผู้ประกอบการรถแท็กซี่ที่เข้าพบรัฐมนตรีกระทรวงคมนาคมขอ
ปรับราคาไปก่อนแล้ว
แม้จะยังไม่ได้รับคำตอบง่ายๆแต่ก็แสดงให้เห็นถึงการเคลื่อนไหวอย่างชัดเจน
แล้ว
ที่ผ่านมาจะว่าไปแล้วปัญหาราคาสินค้าที่ปรับขึ้นมาในเวลานี้
นอกเหนือจากเรื่องต้นทุนจากคาแรงวันละ 300 บาทแล้ว
สำคัญก็คือมาจากราคาน้ำมันดีเซลที่ช่วงหนึ่งในรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
ยุคที่ พิชัย นริพทะพันธุ์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน
ตอนแรกที่เข้ามาใหม่ๆมีการงดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันทำให้ราคาน้ำมันลดลง
ลิตรละ 6-8 บาท โดยเฉพาะเบนซิน แต่หลังจากนั้นไม่นานก็กลับมาเก็บเหมือนเดิม
และปล่อยให้ดีเซลทะลุเกินลิตรละ 30 บาท
ทำให้ผู้ประกอบการต่างๆใช้เป็นเหตุผลในการปรับราคาสินค้า ค่าขนส่ง
ทุกอย่างปรับขึ้นราคาตามมาหมด
ซึ่งแน่นอนอยู่แล้วในประเทศไทยราคาสินค้าเมื่อปรับขึ้นมาแล้วก็ไม่ทางลดลงมา
เพียงแต่รอปรับเพิ่มขึ้นไปอีกเมื่อมีเหตุผลใหม่
และคราวนี้ก็กำลังรอดูว่าจะมีการปรับราคาพลังงานรอบใหม่หรือไม่
อย่างไรก็ดีหลายคนหวังว่า รัฐบาล และ
คณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)โดยเฉพาะ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
นายกรัฐมนตรี ไม่น่าจะไฟเขียวให้ปรับขึ้นมาแน่
เพราะเชื่อว่าย่อมส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพอย่างแน่นอน
ที่สำคัญมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจที่กำลังเปราะบางอยู่ในเวลานี้
อย่างน้อยคงต้องยื้อเวลาออกไปสักระยะหนึ่งก่อน
หรือรอให้มีการปฏิรูปพลังงานทั้งระบบเสียก่อน
แต่อีกด้านหนึ่งหากเป็นไปตามที่
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ณรงค์ชัย อัครเศรณี
ประกาศเอาไว้ว่าจะต้องปรับราคาพลังงานใหม่ในต้นเดือนตุลาคมจริงๆ
นั่นก็หมายความว่าหายนะแน่นอน
ทั้งชาวบ้านที่อ่วมอยู่แล้วในเรื่องค่าครองชีพ ชักหน้าไม่ถึงหลัง
ขณะที่ราคาสินค้าเกษตรตกต่ำแทบทุกรายการ
ดังนั้นเมื่อมาเจอกับการขึ้นราคาก๊าซและน้ำมันดีเซลตามมาอีกลองนึกดูแล้วกัน
ว่ามันจะหนักหนาสาหัสแค่ไหน
ที่สำคัญมันทำให้เกิดเงื่อนไขของกลุ่มการเมืองต่างๆฉวยโอกาสเข้ามา
เคลื่อนไหวผสมโรงทันที และคราวนี้คงสกัดไม่อยู่
เพราะหากอ้างความเดือดร้อนนำหน้าการเมืองมันก็สมเหตุสมผล
สกัดกั้นลำบากเสียด้วย
ประกอบกับเงื่อนไขเรื่องเวลาหลังจากให้โอกาสในการเข้ามาบริหารบ้านเมืองผ่าน
มาเข้าสู่เดือนที่ 5 แล้ว มันก็สมควรที่จะเห็นหน้าเห็นหลังกันบ้างแล้ว
จะบอกให้อยู่เงียบๆห้ามออกมาเคลื่อนไหวไปตลอดก็คงจะไม่ได้แล้ว
ดังนั้นในอนาคตอันใกล้เรื่องเศรษฐกิจ
เรื่องปากท้องเป็นเรื่องสำคัญที่สุดสำหรับชี้อนาคตของรัฐบาล
คณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) รวมทั้งอนาคตของ พล.อ.ประยุทธ์
จันทร์โอชาในฐานะผู้นำที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จ
ไม่สามารถอ้างโน่นอ้างนี่ได้เป็นอันขาด
อย่างไรก็ดีจุดหักเหสำคัญที่สุดในเฉพาะหน้านี้เชื่อว่ายังเป็นเรื่องพลังงาน
เพราะสังคมกำลังจับตามองว่าจะมีการปฏิรูปแท้จริงหรือไม่
หรือปฏิรูปเพื่อใครกันแน่
และอีกไม่กี่วันข้างหน้าก็จะได้พิสูจน์เบื้องต้นก่อนว่าจะออกมาแบบไหน
จะมีการปรับราคาก๊าซและน้ำมันดีเซลนำร่องเข้ามาก่อนหรือไม่
หวังว่าเป็นการเคลื่อนไหวเพื่อหยั่งกระแสสังคมเท่านั้น ไม่ทำจริง เพราะถ้าทำจริงรับรองยุ่งแน่ !!
|
|
|
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น