วันอังคารที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2557

ศาลหัวหินพิพากษาประหาร "ไอ้เกม" ฆ่าข่มขืน"น้องแก้ม"บนรถไฟ-คุก 4 ปีเพื่อน


คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น
ศาลหัวหินพิพากษาประหาร ไอ้เกม ฆ่าข่มขืนน้องแก้มบนรถไฟ-คุก 4 ปีเพื่อน
ภาพจากแฟ้ม นายวันชัย หรือเกมส์ แสงขาว

ศาลหัวหินพิพากษาประหาร ไอ้เกม ฆ่าข่มขืนน้องแก้มบนรถไฟ-คุก 4 ปีเพื่อน

ศาลหัวหินพิพากษาประหาร ไอ้เกม ฆ่าข่มขืนน้องแก้มบนรถไฟ-คุก 4 ปีเพื่อน

ศาลหัวหินพิพากษาประหาร ไอ้เกม ฆ่าข่มขืนน้องแก้มบนรถไฟ-คุก 4 ปีเพื่อน

ศาลหัวหินพิพากษาประหาร ไอ้เกม ฆ่าข่มขืนน้องแก้มบนรถไฟ-คุก 4 ปีเพื่อน

ประจวบคีรีขันธ์ - ศาลจังหวัดหัวหินมีคำพิพากษาประหารชีวิตนายวันชัย แสงขาว หรือ ไอ้เกม ผู้ต้องหาฆ่าข่มขืนเด็กหญิงวัย 13 ปี บนรถไฟ และจำคุก 4 ปี เพื่อนผู้ร่วมก่อเหตุ
      
       เมื่อเช้าวันนี้ (30 ก.ย.) พล.ต.ต.ธเนษฐ สุนทรสุข ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัด (ผบก.ภ.จว.) ประจวบคีรีขันธ์ เปิดเผยว่า ในช่วงวันนี้ ศาลจังหวัดหัวหิน ได้นัดฟังคำพิพากษาคดีฆ่าข่มขืนเด็กหญิงวัย 13 ปี บนรถไฟตามที่อัยการยื่นฟ้องต่อศาลจังหวัดหัวหิน โดยผู้ต้องหาคือ นายวันชัย แสงขาว หรือ “เกม” อายุ 22 ปี พนักงานปูเตียง การรถไฟแห่งประเทศไทย ผู้ต้องหาข่มขืน “น้องแก้ม” เด็กหญิงวัย 13 ปี นักเรียนชั้น ม.2 โรงเรียนสตรีนนทบุรี ขณะกำลังนอนหลับบนรถไฟตู้นอนขบวนรถเร็วที่ 174 นครศรีธรรมราช-กรุงเทพฯ (ขาขึ้น) ก่อนจับร่างโยนทิ้งหน้าต่างทั้งที่เหยื่อยังมีลมหายใจ จนตกลงไปกระแทกพื้นเสียชีวิตอย่างโหดเหี้ยม โดยเหตุเกิดกลางดึกในคืนวันที่ 6 ก.ค.ที่ผ่านมา
      
        ทั้งนี้ ทางตำรวจมีความเห็นว่า ไม่มีความหนักใจในการพิพากษาของศาลในวันนี้ อย่างไรก็ตาม ทางตำรวจคาดว่าโทษสูงสุดที่ผู้ต้องหาจะได้รับในครั้งนี้อาจจะถึงกับขั้นประหารชีวิต
      
       ด้าน ร.ต.ท.กมล ชะอมเพชร พนักงานสอบสวน สภ.ปราณบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ เปิดเผยว่า เวลาประมาณ 09.30 น.วันนี้ ศาลจังหวัดหัวหิน ได้นัดฟังคำพิพากษาคดีฆ่าข่มขืน “น้องแก้ม” เด็กหญิงวัย 13 ปี บนรถไฟ ตามที่อัยการยื่นฟ้องต่อศาลจังหวัดหัวหิน โดยผู้ต้องหาคือ นายวันชัย แสงขาว หรือ “เกม” ซึ่งเป็นพนักงานประจำรถไฟที่ 174 จำเลยที่ 1 ที่ให้การรับสารภาพหลังจากถูกฟ้องรวม 5 ข้อหาคือ ฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา กระทำชำเราเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี ซ่อนเร้นศพเพื่อปิดบังการตาย ลักทรัพย์ และเสพยาบ้า มีโทษสูงสุดคือ ประหารชีวิตนั้น
      
       ขณะที่ผู้พิพากษายังไม่ออกนั่งบัลลังก์ โดยอยู่ระหวางรอเบิกตัวจำเลยมาจากเรือนจำ ท่ามกลางญาติของน้องแก้มที่มารอฟังคำตัดสินเป็นจำนวนมาก
      
       ส่วนนายณัฐกร ชำนาญ หรือ หนึ่ง พนักงานทำความสะอาดบนรถไฟขบวนเดียวกัน จำเลยที่ 2 ถูกฟ้องในข้อหาสนับสนุนให้ผู้อื่นกระทำชำเราเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี ซึ่งให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวน แต่ว่าให้การปฏิเสธในชั้นศาล
      
       ล่าสุด ศาลพิพากษาว่า นายวันชัย จำเลยที่ 1 มีความผิดหลายกรรม ให้ลงโทษทุกกรรม ฐานฆ่าผู้อื่น ให้ลงโทษประหารชีวิต ฐานกระทำชำเราเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี ให้ลงโทษจำคุก 9 ปี ฐานลักทรัพย์ในเวลากลางคืน ให้ลงโทษจำคุก 5 ปี ฐานซ่อนเร้นศพ ให้จำคุก 1 ปี ฐานเสพยาบ้า ให้ลงโทษจำคุก 6 เดือน โดยเมื่อรวมความผิดแล้ว ให้ลงโทษสูงุสดประหารชีวิต และการกระทำของนายวันชัย ที่อ้างว่าสารภาพเพราะสำนึกผิดนั้น ศาลเห็นว่า นายวันชัย รับสารภาพเพราะจำนนต่อหลักฐาน ไม่มีเหตุบรรเทาโทษ
      
       ส่วนนายณัฐกรณ์ จำเลยที่ 2 มีความผิดฐานให้การสนับสนุน จำคุก 6 ปี สารภาพในชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์ ลดโทษ 1 ใน 3 เหลือจำคุก 4 ปี

      
       **ศาลอ่านคำพิพากษาประหารชีวิต "ไอ้เกมส์" 
      
       ทั้งนี้ ผู้พิพากษาได้อ่านคำพิพากษาเมื่อเวลา 10.20 น. และจบอ่านคำพิพากษาเมื่อเวลา 11.40 น. คดีอาญาหมายเลขดำที่ 1407/2557 ระหว่าง พนักงานอัยการจังหวัดหัวหิน โจทก์ นางลักขณา ทองพัฒน์ โจทก์ร่วม นายวันชัย หรือเกมส์ แสงขาว จำเลยที่ 1 นายณัฐกรณ์ หรือหนึ่ง ชำนาญ จำเลยที่ 2
      
       โจทก์ฟ้องว่า เมื่อระหว่างวันที่ 5 กรกฎาคม 2557 เวลากลางวันถึงวันที่ 6 กรกฎาคม 2557 เวลากลางคืนก่อนเที่ยงต่อเนื่องกัน วันเวลาใดไม่ปรากฏชัด จำเลยที่ 1 เสพเมทแอมเฟตามีนอันเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 กระทำชำเราเด็กหญิงกชกร หรือน้องแก้ม พิทักษ์จำนง อายุยังไม่เกินสิบห้าปี ต่อจากนั้นจำเลยที่ 1 ฆ่าเด็กหญิงกชกร เพื่อปกปิดความผิดอื่นของตนหรือเพื่อหลีกเลี่ยงให้พ้นอาญา ในความผิดอื่นที่ตนได้กระทำไว้ ซ่อนเร้น ย้ายหรือทำลายศพเพื่อปิดบังการตายหรือเหตุแห่งการตาย ลักทรัพย์ในเวลากลางคืนในยวดยานสาธารณะ
      
       จำเลยที่ 2 สนับสนุนให้จำเลยที่ 1 กระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปี ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86, 91, 199, 277, 288, 289, 335 พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 4, 7, 8, 57, 91 จำเลยที่ 1 ให้การ รับสารภาพ จำเลยที่ 2 ให้การปฏิเสธ
      
       ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานแล้ว เห็นว่า แม้โจทก์และโจทก์ร่วมไม่มีประจักษ์พยานรู้เห็นการกระทำความผิดของจำเลยที่ 1 แต่โจทก์และโจทก์ร่วมมีพยานบุคคล และวัตถุพยานที่ตรวจพบหลังเกิดเหตุประกอบกันเป็นพยานพฤติเหตุแวดล้อมที่หนักแน่น มั่นคง นับตั้งแต่การตรวจยึดแท็ปเลตและโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่ถูกลักไปขณะอยู่ในความครอบครองของผู้ตายจากนายภานุพงศ์ ต้นโพธิ์โต และนายนิรุตติ์ พุ่มเจริญ
      
       โดยนายภานุพงศ์ ให้การในชั้นสอบสวนยืนยันว่าจำเลยที่ 1 นำแท็ปเลตมาฝากขาย และนายนิรุตติ์เบิกความยืนยันว่า จำเลยที่ 1 นำโทรศัพท์เคลื่อนที่มาขาย ทั้งยังตรวจพบลายพิมพ์นิ้วมือของจำเลยที่ 1 ที่ด้านในกระจกหน้าต่างบริเวณที่นั่งของผู้ตาย ตรวจพบสารพันธุกรรมของจำเลยที่ 1 ที่กางเกงขาสั้นของผู้ตาย และสารพันธุกรรมของผู้ตายที่กางเกงชั้นในและเสื้อคลุมของจำเลยที่ 1 กับตรวจพบร่องรอยการกระทำชำเราที่อวัยวะเพศและทวารหนักของผู้ตาย ข้อเท็จจริงรับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัย การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงเป็นความผิดตามฟ้อง
      
       ปัญหาว่ามีเหตุบรรเทาโทษหรือไม่ จำเลยที่ 1 นำสืบว่า จำเลยที่ 1 รับสารภาพเพราะสำนึกผิดและรับสารภาพกับเจ้าพนักงานตำรวจก่อนเจ้าพนักงานพบหลักฐานเกี่ยวกับโทรศัพท์ เคลื่อนที่ซึ่งอยู่ในครอบครองของผู้ตายนั้น เห็นว่า จำเลยที่ 1 ให้การปฏิเสธต่อเจ้าพนักงานตำรวจตั้งแต่ต้นว่าไม่เกี่ยวข้อง กับการหายตัวและการตายของผู้ตาย ข้อเท็จจริงที่จำเลยที่ 1 เบิกความขัดแย้งกับคำเบิกความของ พันตำรวจโทสาโรจน์ จอกโคกสูง สารวัตรสืบสวนกองกำกับการสวัสดิภาพเด็กและสตรี ประกอบได้ความเพิ่มเติมว่า เดิมจำเลยที่ 1 ให้ถ้อยคำว่าโยน แท็ปเล็ต ทิ้งเมื่อขบวนรถเร็วที่ 174 แล่นผ่านสถานีนครปฐมซึ่งเป็นความเท็จ ความจริงแล้วจำเลยที่ 1 นำไปฝากนายภานุพงค์ เพื่อนของจำเลย
      
       เมื่อนายภานุพงค์ นำ แท็ปเล็ต ไปมอบต่อเจ้าพนักงานตำรวจสถานีตำรวจรถไฟนพวงศ์ จำเลยที่ 1 จึงให้การรับสารภาพเพิ่มเติม ในประเด็นนี้ เป็นพฤติการณ์ส่อแสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพโดยจำนนต่อพยานหลักฐาน หาใช่รับสารภาพเพราะสำนึกผิดไม่ ทั้งพยานวัตถุที่พบและได้มาเป็นหลักฐานเกิดจากการค้นหาของเจ้าพนักงานการรถไฟแห่งประเทศไทย และจากการสืบสวนแสวงหาพยานหลักฐานของเจ้าพนักงานตำรวจ
      
       ส่วนการค้นหาศพผู้ตายก็เกิดจากความร่วมมือของเจ้าหน้าที่มูลนิธิสว่างแผ่ไพศาลธรรมสถานกับญาติของผู้ตาย โดยเฉพาะญาติผู้ตายดำเนินการติดตามค้นหาตั้งแต่ต้นตลอดมา ไม่ปรากฏว่าพนักงานสอบสวนได้รวบรวมพยานหลักฐานต่างๆ ซึ่งเป็นพยานบุคคล พยานวัตถุและพยานแวดล้อมโดยอาศัยคำรับสารภาพของจำเลยที่ 1 แต่อย่างใด ประกอบกับชั้นพิจารณาจำเลยที่ 1 เบิกความว่าจำเลยที่ 1 กระทำความผิดเพียงคนเดียว จำเลยที่ 1 ไม่ได้ช่วยเหลือจำเลยที่ 1 ทำให้เห็นเจตนาของจำเลยที่ 1 ว่าไม่ประสงค์ให้จำเลยที่ 2 ต้องรับโทษด้วย คำรับสารภาพของจำเลยที่ 1 ในชั้นสอบสวน ชั้นพิจารณาและทางนำสืบของจำเลยที่ 1
      
       ในกรณีเช่นนี้ไม่ถือว่าเป็นการให้ความรู้แก่ศาลอันเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา จึงไม่มีเหตุบรรเทาโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 จำเลยที่ 1 ถือโอกาสที่ตนเองมีหน้าที่ช่วยเหลือดูแลอำนวยความสะดวกและความปลอดภัยให้แก่ผู้โดยสาร อาศัยโอกาสขณะปฏิบัติงานบนขบวนรถไฟข่มขืนกระทำชำเราและฆ่าผู้ตายซึ่งเป็นเด็กหญิงอายุยังไม่เกินสิบห้าปีที่นอนหลับอยู่ ขณะที่มีผู้โดยสารอื่นๆและญาติผู้ตายนอนหลับอยู่ใกล้ๆ จากนั้นโยนศพผู้ตายออกจากหน้าต่างขบวนรถเพื่อปกปิดการตาย ลักษณะของการกระทำความผิดจึงเป็นไปโดยอุกอาจไม่ยำเกรงต่อกฎหมายบ้านเมือง เป็นการกระทำที่โหดเหี้ยมไร้มนุษยธรรม ก่อให้เกิดผลกระทบต่อความสงบเรียบร้อยของสังคม พฤติการณ์แห่งคดีจึงเป็นเรื่องร้ายแรง สมควรลงโทษในสถานหนัก
      
       ในส่วนจำเลยที่ 2 ได้ความตามทางนำสืบของโจทก์และโจทก์ร่วมว่า ระหว่างรถไฟแล่นจากสถานีรถไฟประจวบคีรีขันธ์จนถึงสถานีวังก์พง มีข้อบ่งชี้ว่าจำเลยที่ ๒ อยู่ใกล้ชิดเหตุการณ์มากที่สุด ประกอบกับชั้นสอบสวนจำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพ โดยมีรายละเอียดต่างๆ ยากที่ผู้ใดจะรู้รายละเอียดดังกล่าวนอกจากตัวจำเลยที่ ๒ และยากที่พนักงานสอบสวนจะแต่งขึ้นเองได้ พยานหลักฐานของโจทก์และโจทก์ร่วมจึงมีน้ำหนักให้รับฟังว่า การกระทำของจำเลยที่ 2 เป็นความผิดตามฟ้อง
      
       พิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 199, 277 วรรคหนี่ง, 335 (1) (9) วรรคสอง, 289 (7) พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 57, 90 จำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 227 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 86 การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานฆ่าผู้อื่นเพื่อปกปิดความผิดอื่นของตนหรือเพื่อหลีกเลี่ยง ให้พ้นอาญาในความผิดอื่นที่ตนได้กระทำไว้ ให้ประหารชีวิต ฐานกระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปี จำคุก 9 ปี ฐานลักทรัพย์ในเวลากลางคืนในยวดยานสาธารณะ จำคุก 5 ปี ฐานซ่อนเร้น ย้ายหรือทำลายศพเพื่อปิดบังการตายหรือเหตุแห่งการตาย จำคุก 1 ปี ฐานเสพเมทแอมเฟตามีน จำคุก 6 เดือน
      
       จำเลยที่ 1 รับสารภาพโดยจำนนต่อหลักฐาน ไม่มีเหตุบรรเทาโทษ จึงไม่ลดโทษให้แก่จำเลยที่ 1 รวมโทษทุกกระทง คงให้ประหารชีวิตจำเลยที่ 1 สถานเดียว จำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 6 ปี จำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้จำเลยที่ 2 หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 4 ปี
      
       **นักข่าวทุกสันักเฝ้าทำข่าวใกล้ชิด
      
       ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ช่วงเวลา 10.00 น. ที่ศาลจังหวัดหัวหิน ได้มีผู้สื่อข่าวจากหลายสำนักได้มาปักหลักรอทำข่าวกันเป็นจำนวนมาก รวมทั้ง ปุ๋ม ปนัดดา วงษ์ผู้ดี อดีตนางสาวไทย ที่เป็นแกนนำในการให้ออกกฎหมายคดีข่มขืนต้องประหารชีวิต และเจ้าหน้าที่จากสำนักงานอัยการสูงสุดได้เดินทางมาร่วมรับฟังคำพิพากษา รวมทั้งให้กำลังใจกับครอบครัวผู้เสียชีวิต โดยในวันนี้ศาลจังหวัดหัวหิน ใช้ห้องเวรชีในการอ่านคำพิพากษา
      
       โดยทั้งนางลักขณา ทองพัฒน์ อายุ 48 ปี มารดาของน้องแก้ม และนายพัฒน์ชัย ธานินทร์พงศ์ อายุ 35 ปี พี่ชายตลอดจนญาติพี่น้อง ฯลฯ ได้เดินทางมาศาลจังหวัดหัวหิน ประมาณ 12 คน ทั้งหมดใส่เสื้อยืดสีขาว และสีดำ ที่สกรีนคำว่า 1 คนตาย 1 ล้านชีวิตตื่น
      
       โดยทางพี่ชายของน้องแก้มได้กล่าวว่ากับผู้สื่อข่าวว่า แม้ว่าคดีนี้จะผ่านไปกว่า 2 เดือน แต่มารดาก็ยังทำใจไม่ได้ ยังคงร้องให้ตลอดเวลา จนต้องหันหน้าพึ่งธรรมะ และขณะนี้มารดาน้ำหนักลดลงไปกว่า 8 กิโลกรัม โดยทุกอย่างก็อยู่ในดุลพินิจของศาล ขอให้ความยุติธรรมกับครอบครัวด้วย โดยขณะที่อ่านคำพิพากษามารดาน้องแก้ม ได้ร้องไห้ตลอดเวลา ซึ่งมีทั้งญาติๆ และผู้สื่อข่าวรวมประมาณ 50 คนเข้ารับฟังการอ่านคำพิพากษา 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น