วันอาทิตย์ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2557

แฉ “ส่วยลิขสิทธิ์” ขูดรีดประชาชน “ตำรวจ-ตัวแทนฯ” ใช้กฎหมายปล้น!

แฉ “ส่วยลิขสิทธิ์” ขูดรีดประชาชน “ตำรวจ-ตัวแทนฯ” ใช้กฎหมายปล้น!
กรจับกุมซีดีละเมิดลิขสิทธิ์ที่มีอยู่อย่างต่อเนื่อง

สัปดาห์ที่ผ่านมามีข่าวร็อกรุ่นใหญ่ “แมว จีระศักดิ์ ปานพุ่ม” โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวเปิดโปงการจับละเมิดลิขสิทธิ์ของเจ้าหน้าที่ผู้ได้รับ มอบหมายจากบริษัทฯ และตำรวจ โดยอาศัยช่องทางกฎหมายนำไปหากินอย่างน่ารังเกียจ
      
       “แมว จีระศักดิ์” ระบุว่า “วันหนึ่งผมเคยขำคำถามเพื่อนนักดนตรีท่านหนึ่งว่า พี่ผมสามารถเอาเพลงพี่ไปเล่นได้มั้ย ผมได้แต่ขำและตอบว่า ได้ซิครับ ทำไมเหรอ ไม่ต้องมารยาทดีกับพี่ขนาดนั้นก็ได้”
      
       นักดนตรีท่านนั้นก็ตอบว่า “ผมเคยเล่นเพลงของค่ายหนึ่ง พอลงจากเวทีโดนจับเลยโทษฐานละเมิดลิขสิทธิ์”
      
       ครั้งนั้นผมมองเป็นเรื่องตลกที่มาขอเพลงผมไปเล่นเพราะกลัวผมจับเรียกค่าลิขสิทธิ์
      
       แต่คราวนี้เหตุการณ์ที่เกิดไม่ใช่กับตัวผมแต่เป็นกับวงเด็กๆที่เพิ่ง หัดเล่นดนตรี ได้ค่าตัวแค่คนละ 500 บาท พอน้องๆเล่นเสร็จลงมาจากเวทีโดนจับทันทีเพราะไม่จ่ายค่าลิขสิทธิ์
      
       “เด็กอายุแค่ 18-20 เพิ่งหัดเล่นดนตรีมีงานแรกโดนเรียกค่าลิขสิทธิ์ 20,000 บาทต่อเพลง น้องเล่นเพลงของค่ายนั้นไป 2 เพลงรวมเป็น 40,000 บาท ถ้าไม่จ่ายตำรวจรอทำหน้าที่อย่างจดจ้อง”
      
       รายละเอียดบางตอนที่ทำให้คนที่รู้เรื่องราวต่างตั้งคำถามว่าอะไร กำลังเกิดขึ้นกับสังคมไทยเพราะไม่เพียงลิขสิทธิ์ค่ายเพลง ปัจจุบันมีผู้นำช่องทางกฎหมายลิขสิทธิ์ไปหากินอย่างแพร่หลาย
      
       และตัวการหลักก็คือตำรวจ บวกกับตัวแทนบริษัทฯต่างๆ ที่มอบอำนาจให้
      
       จากการสอบถามไปยังผู้ทำมาค้าขายในระดับต่างๆ ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ระดับล่างต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าได้รับความเดือดร้อน จากการจับแล้ว “ตบทรัพย์” ของบุคคลในเครื่องแบบเป็นอย่างยิ่ง
      
       เจ้าของตลาดนัดรายหนึ่งบอกว่าช่วงนี้ตำรวจเข้ามารบกวนพ่อค้าแม่ขาย กันมาก สินค้าทีถูกกวดขันมีแทบทุกประเภทตั้งแต่เสื้อผ้าแฟชั่น เสื้อผ้ากีฬา รองเท้า กระเป๋า เครื่องสำอาง ของเล่น แผ่นซีดี ผ้าเช็ดตัวตลอดจนสินค้าทุกชนิดเลยก็ว่าได้
      
       เจ้าของตลาดรายเดียวกันบอกอีกว่าตำรวจที่มาตรวจจับส่วนใหญ่เป็นตำรวจ ท้องที่กับตำรวจปราบปรามเศรษฐกิจ (กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ หรือ บก.ปอส.) ซึ่งในการทำงานตำรวจพวกนี้จะมากับตัวแทนบริษัทฯที่ได้รับมอบอำนาจ เมื่อก่อนเขาจะมากันแค่ชุดสองชุด จับแล้วเรียกเอาเงินบ้างเอาไปดำเนินคดีบ้าง แต่เดี๋ยวนี้มากันเยอะมาก วิธีการจะลุยหน้ากระดานแบ่งกำลังเป็นด้านหน้า ช่วงกลางและด้านหลังไม่มีผู้ค้ารายใดหนีรอดไปได้
      
       “ผมว่าตำรวจกับตัวแทนบริษัทเขารู้กันเพราะส่วนใหญ่ตอนจับก็จะบอกให้ เลือกระหว่างดำเนินคดีกับปรับกันตรงนี้คือรายละ 8 หมื่นบาทขาดตัว หากตกลงกันได้เขาจะออกใบเสร็จให้แค่ 5,000 บาท ของกลางต้องยึดเอาไปเก็บที่หน่วยแต่อีก 4-5 เดือนเอาใบเสร็จไปแสดงขอรับคืนได้
      
       แรกๆ ผู้ค้าเขาก็ตกใจยอมเสียเงินกันเกือบแสนแต่ตอนนี้เขาเลือกให้จับดำเนินคดีไป เลยเพราะมีค่าใช้จ่ายน้อยกว่าแต่ไม่วายตำรวจจะขู่ว่าถ้ามีประวัติโดนรอบ 2 อาจติดคุกได้อะไรทำนองนี้”
      
       นี่คือความจริงอีกด้านหนึ่งที่กำลังเกิดวิกฤตโดยฝีมือของเจ้าหน้าที่ผู้รักษากฎหมาย
      
       จากการตรวจสอบไปยังสถานีตำรวจ 2-3 แห่งในพื้นที่นครบาล เพื่อขอทราบความชัดเจนมีคำตอบว่าเรื่องการจับกุมสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์นั้น มีคำสั่งลงมาจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ห้ามมิให้ตำรวจที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องไปตรวจจับอย่างเด็ดขาดเว้นแต่จะมีตัว แทน หรือทนายของบริษัทผู้ถือลิขสิทธิ์มาขอความร่วมมือ หรือมาระบุให้ตำรวจท้องที่เป็นผู้ดำเนินการจึงสามารถทำได้ ในส่วนของตำรวจจาก บก.ปอส. ก็ต้องมีตัวแทนร่วมทุกครั้งเช่นกัน
      
       คำตอบนี้จึงยืนยันได้ว่าถ้าตำรวจจะจับลิขสิทธิ์จะต้องมีตัวแทนผู้รับ มอบอำนาจตามไปด้วย ส่วนการเรียกรับเงินหรือตบทรัพย์จากพ่อค้าแม่ค้านั้นเป็นเรื่องสมรู้ร่วมคิด ระหว่างตำรวจกับตัวแทน และน่าจะรวมไปถึงผู้บังคับบัญชาระดับสูงชึ้นไปของหน่วยงานเกี่ยวข้องด้วย ทำนอง “หัวไม่ส่าย หางไม่กระดิก”
      
       อย่างไรก็ตาม เป็นที่ทราบกันดีว่าสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์นั้นบางแห่งก็สามารถวางขายได้ อย่างอิสระโดยไม่มีเจ้าหน้าที่เข้าไปวุ่นวายอาทิย่านคลองถม สะพานเหล็กอันเป็นพื้นที่คาบเกี่ยวระหว่างสน.พลับพลาไชย เขต 1 กับสน.จักรวรรดิ์ ยังรวมไปถึงห้างสรรพสินค้าประเภทไอที เช่น ศูนย์การค้ามาบุญครอง พันธ์ทิพย์พลาซ่า ประตูน้ำ ห้างฟอร์จูน พระราม 9 ห้างตะวันนา บางกะปิ เป็นต้นโดยห้างใหญ่เส้นหนามีชื่อเจ้าของธุรกิจน้ำเมา และเครือเจริญโภคภัณฑ์ เป็นเจ้าของคาดว่ามีการเคลียร์รายเดือนให้กับผู้มีอำนาจ รวมทั้งบารมีเจ้าของกิจการทำให้ตำรวจไทยเกรงอกเกรงใจเป็นพิเศษ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น