|
|
สัปดาห์ที่ผ่านมามีข่าวร็อกรุ่นใหญ่ “แมว จีระศักดิ์ ปานพุ่ม”
โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวเปิดโปงการจับละเมิดลิขสิทธิ์ของเจ้าหน้าที่ผู้ได้รับ
มอบหมายจากบริษัทฯ และตำรวจ
โดยอาศัยช่องทางกฎหมายนำไปหากินอย่างน่ารังเกียจ
“แมว จีระศักดิ์” ระบุว่า
“วันหนึ่งผมเคยขำคำถามเพื่อนนักดนตรีท่านหนึ่งว่า
พี่ผมสามารถเอาเพลงพี่ไปเล่นได้มั้ย ผมได้แต่ขำและตอบว่า ได้ซิครับ
ทำไมเหรอ ไม่ต้องมารยาทดีกับพี่ขนาดนั้นก็ได้”
นักดนตรีท่านนั้นก็ตอบว่า “ผมเคยเล่นเพลงของค่ายหนึ่ง พอลงจากเวทีโดนจับเลยโทษฐานละเมิดลิขสิทธิ์”
ครั้งนั้นผมมองเป็นเรื่องตลกที่มาขอเพลงผมไปเล่นเพราะกลัวผมจับเรียกค่าลิขสิทธิ์
แต่คราวนี้เหตุการณ์ที่เกิดไม่ใช่กับตัวผมแต่เป็นกับวงเด็กๆที่เพิ่ง
หัดเล่นดนตรี ได้ค่าตัวแค่คนละ 500 บาท
พอน้องๆเล่นเสร็จลงมาจากเวทีโดนจับทันทีเพราะไม่จ่ายค่าลิขสิทธิ์
“เด็กอายุแค่ 18-20 เพิ่งหัดเล่นดนตรีมีงานแรกโดนเรียกค่าลิขสิทธิ์
20,000 บาทต่อเพลง น้องเล่นเพลงของค่ายนั้นไป 2 เพลงรวมเป็น 40,000 บาท
ถ้าไม่จ่ายตำรวจรอทำหน้าที่อย่างจดจ้อง”
รายละเอียดบางตอนที่ทำให้คนที่รู้เรื่องราวต่างตั้งคำถามว่าอะไร
กำลังเกิดขึ้นกับสังคมไทยเพราะไม่เพียงลิขสิทธิ์ค่ายเพลง
ปัจจุบันมีผู้นำช่องทางกฎหมายลิขสิทธิ์ไปหากินอย่างแพร่หลาย
และตัวการหลักก็คือตำรวจ บวกกับตัวแทนบริษัทฯต่างๆ ที่มอบอำนาจให้
จากการสอบถามไปยังผู้ทำมาค้าขายในระดับต่างๆ
ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ระดับล่างต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าได้รับความเดือดร้อน
จากการจับแล้ว “ตบทรัพย์” ของบุคคลในเครื่องแบบเป็นอย่างยิ่ง
เจ้าของตลาดนัดรายหนึ่งบอกว่าช่วงนี้ตำรวจเข้ามารบกวนพ่อค้าแม่ขาย
กันมาก สินค้าทีถูกกวดขันมีแทบทุกประเภทตั้งแต่เสื้อผ้าแฟชั่น เสื้อผ้ากีฬา
รองเท้า กระเป๋า เครื่องสำอาง ของเล่น แผ่นซีดี
ผ้าเช็ดตัวตลอดจนสินค้าทุกชนิดเลยก็ว่าได้
เจ้าของตลาดรายเดียวกันบอกอีกว่าตำรวจที่มาตรวจจับส่วนใหญ่เป็นตำรวจ
ท้องที่กับตำรวจปราบปรามเศรษฐกิจ
(กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ หรือ
บก.ปอส.) ซึ่งในการทำงานตำรวจพวกนี้จะมากับตัวแทนบริษัทฯที่ได้รับมอบอำนาจ
เมื่อก่อนเขาจะมากันแค่ชุดสองชุด
จับแล้วเรียกเอาเงินบ้างเอาไปดำเนินคดีบ้าง แต่เดี๋ยวนี้มากันเยอะมาก
วิธีการจะลุยหน้ากระดานแบ่งกำลังเป็นด้านหน้า
ช่วงกลางและด้านหลังไม่มีผู้ค้ารายใดหนีรอดไปได้
“ผมว่าตำรวจกับตัวแทนบริษัทเขารู้กันเพราะส่วนใหญ่ตอนจับก็จะบอกให้
เลือกระหว่างดำเนินคดีกับปรับกันตรงนี้คือรายละ 8 หมื่นบาทขาดตัว
หากตกลงกันได้เขาจะออกใบเสร็จให้แค่ 5,000 บาท
ของกลางต้องยึดเอาไปเก็บที่หน่วยแต่อีก 4-5
เดือนเอาใบเสร็จไปแสดงขอรับคืนได้
แรกๆ
ผู้ค้าเขาก็ตกใจยอมเสียเงินกันเกือบแสนแต่ตอนนี้เขาเลือกให้จับดำเนินคดีไป
เลยเพราะมีค่าใช้จ่ายน้อยกว่าแต่ไม่วายตำรวจจะขู่ว่าถ้ามีประวัติโดนรอบ 2
อาจติดคุกได้อะไรทำนองนี้”
นี่คือความจริงอีกด้านหนึ่งที่กำลังเกิดวิกฤตโดยฝีมือของเจ้าหน้าที่ผู้รักษากฎหมาย
จากการตรวจสอบไปยังสถานีตำรวจ 2-3 แห่งในพื้นที่นครบาล
เพื่อขอทราบความชัดเจนมีคำตอบว่าเรื่องการจับกุมสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์นั้น
มีคำสั่งลงมาจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
ห้ามมิให้ตำรวจที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องไปตรวจจับอย่างเด็ดขาดเว้นแต่จะมีตัว
แทน หรือทนายของบริษัทผู้ถือลิขสิทธิ์มาขอความร่วมมือ
หรือมาระบุให้ตำรวจท้องที่เป็นผู้ดำเนินการจึงสามารถทำได้
ในส่วนของตำรวจจาก บก.ปอส. ก็ต้องมีตัวแทนร่วมทุกครั้งเช่นกัน
คำตอบนี้จึงยืนยันได้ว่าถ้าตำรวจจะจับลิขสิทธิ์จะต้องมีตัวแทนผู้รับ
มอบอำนาจตามไปด้วย
ส่วนการเรียกรับเงินหรือตบทรัพย์จากพ่อค้าแม่ค้านั้นเป็นเรื่องสมรู้ร่วมคิด
ระหว่างตำรวจกับตัวแทน
และน่าจะรวมไปถึงผู้บังคับบัญชาระดับสูงชึ้นไปของหน่วยงานเกี่ยวข้องด้วย
ทำนอง “หัวไม่ส่าย หางไม่กระดิก”
อย่างไรก็ตาม
เป็นที่ทราบกันดีว่าสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์นั้นบางแห่งก็สามารถวางขายได้
อย่างอิสระโดยไม่มีเจ้าหน้าที่เข้าไปวุ่นวายอาทิย่านคลองถม
สะพานเหล็กอันเป็นพื้นที่คาบเกี่ยวระหว่างสน.พลับพลาไชย เขต 1
กับสน.จักรวรรดิ์ ยังรวมไปถึงห้างสรรพสินค้าประเภทไอที เช่น
ศูนย์การค้ามาบุญครอง พันธ์ทิพย์พลาซ่า ประตูน้ำ ห้างฟอร์จูน พระราม 9
ห้างตะวันนา บางกะปิ เป็นต้นโดยห้างใหญ่เส้นหนามีชื่อเจ้าของธุรกิจน้ำเมา
และเครือเจริญโภคภัณฑ์
เป็นเจ้าของคาดว่ามีการเคลียร์รายเดือนให้กับผู้มีอำนาจ
รวมทั้งบารมีเจ้าของกิจการทำให้ตำรวจไทยเกรงอกเกรงใจเป็นพิเศษ
|
|
|
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น