วันอาทิตย์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2557

หนุ่มยุ่นหลายพันแห่ "บีบเต้าการกุศล" ระดมเงินบริจาคต้านเอดส์ได้นับล้าน


หนุ่มยุ่นหลายพันแห่ บีบเต้าการกุศล ระดมเงินบริจาคต้านเอดส์ได้นับล้าน
       เอเอฟพี - กลุ่มนักแสดงหญิงจากวงการหนังโป๊ญี่ปุ่นสามารถระดมเงินบริจาคได้กว่า 1.2 ล้านบาท จากการร่วมกันทำกิจกรรมการกุศลต่อต้านเอดส์ ด้วยการเปิดหน้าอกให้จับเป็นเวลา 24 ชั่วโมง
      
       นักแสดงหนังโป๊ 9 ราย ที่มาในชุดเสื้อยืดสีเหลืองติดโลโก้ของการรณรงค์ครั้งนี้ ได้พากันส่งยิ้มให้ช่างภาพได้เก็บรูป ยืนเรียงแถวเปิดหน้าอกให้หนุ่มๆ ได้จับกันตั้งแต่ช่วงเย็นวันเสาร์ที่ผ่านมา (30 ส.ค.) โดยที่บรรดาหนุ่มๆ เหล่านั้นจะต้องฉีดสเปรย์ฆ่าเชื้อโรคที่มือก่อนจะจับอย่างละเมียดละไม
      
       ทั้งนี้ หนุ่มญี่ปุ่นรายหนึ่ง ได้พนมมือแบบชาวพุทธ ทั้งก่อนและหลังการสัมผัสหน้าอกของสาวๆ ทั้ง 9 คน อย่างนุ่มนวลแผ่วเบา
      
       นอกจากนี้ ท่ามกลางผู้เข้าร่วมกิจกรรมที่ส่วนใหญ่เป็นผู้ชาย ก็ยังมีผู้หญิงเข้าร่วมจับหน้าอกในครั้งนี้ด้วย ทำให้นักแสดงสาวรายหนึ่งถึงกับพูดขึ้นมาว่า "ว้าว ดีใจจังเลย อยากให้เธอมาจับหน้าอกฉันจัง"
      
       การจับหน้าอก 24 ชั่วโมงครั้งนี้ เป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมกุศล "Stop! AIDS" ซึ่งเป็นการรณรงค์ต่อต้านโรคเอดส์ในกรุงโตเกียว โดยมีการถ่ายทอดสดทางเคเบิลทีวีสำหรับผู้ใหญ่ด้วย
หนุ่มยุ่นหลายพันแห่ บีบเต้าการกุศล ระดมเงินบริจาคต้านเอดส์ได้นับล้าน
       หลังจากที่มีการพักในช่วงคืนวันเสาร์ (30 ส.ค.) การจับหน้าอกก็เริ่มกันต่อในเช้าวันอาทิตย์ (31 ส.ค.) โดยทางผู้จัดงานมีการเปิดเผยว่า หลังจากที่ผ่านไป 12 ชั่วโมง มีผู้มาร่วมจับหน้าอกกว่า 4,100 ราย
      
       ขณะที่ยอดเงินบริจาค ณ เวลานั้นรวมกันได้ประมาณ 4 ล้านเยน (ประมาณ 1.2 ล้านบาท) คาดว่าผู้บริจาคแต่ละรายน่าจะจ่ายกันประมาณคนละ 1,000 เยนขึ้นไป (ประมาณ 300 บาท)
      
       ทั้งนี้ ยอดรวมของเงินบริจาคทั้งหมดจะมีการประกาศอีกครั้งเมื่อกิจกรรมสิ้นสุดลงในเวลา 20.00 น. ของวันอาทิตย์ (31 ส.ค.) ตามเวลาท้องถิ่น (ประมาณ 18.00 น. ตามเวลาประเทศไทย)
      
       นับเป็นครั้งที่ 12 ของกิจกรรมนี้ ที่เริ่มจัดกันมาตั้งแต่ปี 2003 และได้รับการสนับสนุนโดยมูลนิธิป้องกันโรคเอดส์ของญี่ปุ่น
หนุ่มยุ่นหลายพันแห่ บีบเต้าการกุศล ระดมเงินบริจาคต้านเอดส์ได้นับล้าน
       

เรือหางยาวเฉี่ยวกันดับ 1 ศพ

คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น
เรือหางยาวเฉี่ยวกันดับ 1 ศพ
นายพงศธร จันทร์ทอง เป็นคนพิการร่างแคระกระเด็นตกน้ำเสียชีวิต

เรือหางยาวติดเครื่องยนต์เฉี่ยวชนกัน มีผู้พลัดตกน้ำ ชุดประดาน้ำงมค้นหานานกว่า 2ชั่วโมง พบร่างผู้เสียชีวิตเป็นชาย 1 รายทางน้ำท้ายซอยเทียนทะเล 29
      
       วันนี้ (31 ส.ค.) พ.ต.ต.กมล เลิศล้ำ พนักงานสอบสวนผู้ชำนาญการพิเศษ ได้รับแจ้งเหตุเรือพายติดเครื่องยนต์เฉี่ยวกัน บริเวณทางน้ำท้ายซอยเทียนทะเล 29 แขวงท่าข้าม เขตบางขุนเทียน กทม. เป็นเหตุให้มีชาวบ้านสูญหายไป 1 ราย จึงประสานเจ้าหน้าที่นักประดาน้ำมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง เดินทางไปที่เกิดเหตุ บริเวณด้านในเป็นทางน้ำกว้างประมาณ 3 เมตร โดยปกติแล้วเรือเครื่องยนต์หรือเรือพายต่างๆ สามารถสัญจรไปมาได้ ซึ่งชาวบ้านและเจ้าหน้าที่ประดาน้ำค้นหาร่างผู้สูญหายนานกว่า 2 ชั่วโมง รวมทั้งระดับน้ำลึกถึง 2 เมตร ทำให้ค้นหาร่างผู้สูญหายลำบาก เจ้าหน้าที่จึงยุติการค้นหา
      
       จากการสอบถามผู้เห็นเหตุการณ์เล่าว่า ผู้สูญหายชื่อนายพงศธร จันทร์ทอง อายุ 39 ปี เป็นคนพิการร่างแคระ ได้นั่งเรือมากับเพื่อน ระหว่างนั้นมีเรือขนาดใหญ่กว่าสัญจรผ่านมาได้เฉี่ยวกับเรือของนายพงศธรจนนายพงศธรกระเด็นตกน้ำไป เบื้องต้นเจ้าหน้าที่จะเรียกคนขับเรือทั้งสองฝ่ายมาสอบสวนเพื่อแจ้งข้อหาและดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

โปรดเกล้าฯแล้ว"ครม.ประยุทธ์ 1" 32 คน 34 ตำแหน่ง ′ประวิตร′ รองนายกฯควบกห. ′อนุพงษ์′ มท.1-"อุ๋ย"คุมศก.















หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล 



วิษณุ เครืองาม 



ณรงค์ชัย อัครเศรณี 



พรชัย รุจิประภา 



กอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร



อาคม เติมพิทยาไพสิฐ 



ปีติพงศ์ พึ่งบุญ ณ อยุธยา 



สมหมาย ภาษี 


เมื่อวันที่ ๓๑  ๓๑ สิงหาคม ๒๕๕๗ เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา ลงประกาศแต่งตั้งรัฐมนตรี ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร. ดังนี้


พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้า ฯให้ประกาศว่า ตามที่ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ แต่งตั้ง พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี ตามประกาศลงวันที่ ๒๔ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๕๗ แล้ว นั้น


บัดนี้ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้เลือกสรรผู้ที่สมควรดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีเพื่อบริหารราชการแผ่นดินสืบไปแล้ว อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๙ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว)พุทธศักราช ๒๕๕๗ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ แต่งตั้งรัฐมนตรี ดังต่อไปนี้


1.พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็นรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
2.หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล เป็นรองนายกรัฐมนตรี
3.นายยงยุทธ ยุทธวงศ์ เป็นรองนายกรัฐมนตรี
4.พลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร เป็นรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
5.นายวิษณุ เครืองาม เป็นรองนายกรัฐมนตรี
6.หม่อมหลวงปนัดดา ดิศกุล เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
7.นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
8.พลเอก อุดมเดช สีตบุตร เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม
9.นายสมหมาย ภาษี เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
10.นายดอน ปรมัตถ์วินัย เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
11.นางกอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
12.พลตำรวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
13.นายปีติพงศ์ พึ่งบุญ ณ อยุธยา เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
14.พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
15.นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม
16.พลเอก ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
17.นายพรชัย รุจิประภา เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
18.นายณรงค์ชัย อัครเศรณี เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน
19.พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
20.นางอภิรดี ตันตราภรณ์ เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์
21.พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
22.นายสุธี มากบุญ เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย
23.พลเอก ไพบูลย์ คุ้มฉายา เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม
24.พลเอก สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน
25.นายวีระ โรจน์พจนรัตน์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม
26.นายพิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
27.พลเรือเอก ณรงค์ พิพัฒนาศัย เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
28.นายกฤษณพงศ์ กีรติกร เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
29.พลโท สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
30.นายรัชตะ รัชตะนาวิน เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข
31.นายสมศักดิ์ ชุณหรัศมิ์ เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข
32.นายจักรมณฑ์ ผาสุกวนิช เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม


ทั้งนี้ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ ๓๐ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๕๗ เป็นปีที่ ๖๙ ในรัชกาลปัจจุบัน

ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา
นายกรัฐมนตรี







นกแอร์บินชนนก ขอจอดฉุกเฉินที่สนามบินสุราษฎร์ธานี



เมื่อวันที่ 31 ส.ค.หอบังคับการบินท่าอากาศยานสุราษฎร์ธานี ได้รับการติดต่อจากเที่ยวบินDD 7805สายการบินนกแอร์ เส้นทางบิน จ.นครศรีธรรมราช ปลายทางสนามบินดอนเมือง กทม. เพื่อขอลงฉุกเฉินที่สนามบินสุราษฎร์ธานี เนื่องจากเกิดเหตุเครื่องบินชนนกอย่างกะทันหัน
นายอรรถพร เนื่องอุดม ผอ.ท่าอากาศยานสุราษฎร์ธานี เปิดเผยว่า เที่ยวบินนกแอร์DD7805 เป็นเครื่องโบอิ้ง738 ได้ออกจากท่าอากาศยานนครศรีธรรมราชเวลา07.40น.พร้อมด้วยผู้โดยสารและลูกเรือ 139คน มุ่งหน้าปลายทางสนามบินดอนเมือง กระทั่งตัวเครื่องยนต์ได้ชนเข้ากับฝูงนกไม่ทราบชนิด กัปตันประจำเครื่องจึงตัดสินใจติดต่อกับหอบังคับการบินท่าอากาศยานสุราษฎร์ธานีขอลงจอดฉุกเฉินดังกล่าว โดยลูกเรือทั้งหมดปลอดภัย
อย่างไรก็ตาม ได้เกิดความวุ่นวายขึ้นระหว่างการรอเปลี่ยนเครื่อง หลังจากเจ้าหน้าที่สายการบินนกแอร์ได้แจ้งให้ผู้โดยสารมารับสัมภาระและให้ยื่นความจำนง เพื่อเดินทางไปต่อด้วยเที่ยวบินปกติของสายการบินนกแอร์ที่ออกเดินทางจาก จ.สุราษฎร์ธานี สร้างความไม่พอใจให้กับผู้โดยสารที่รอเปลี่ยนเครื่อง เนื่องจากจำนวนที่นั่งไม่เพียงพอ
น.ส.พิมพ์พิมล แสงเงิน อายุ 28 ปี หนึ่งในผู้โดยสาร เปิดเผยว่า ตั้งแต่เครื่องยกตัวก็สังเกตว่าเครื่องยนตืสั่นผิดปกติ แต่ไม่ได้สนใจ จากนั้นเมื่อบินได้ 20 นาที กัปตันได้แจ้งให้ทราบว่าต้องลงฉุกเฉินที่สุราษฎร์ธานีเพราะบินชนนก แต่แทนที่สายการบินจะเปลี่ยนเครื่องมารับใหม่ กลับให้นั่งไปกับเที่ยวปกติแทน ทำให้ผู้โดยสารต้องตกค้างเกือบทั้งหมด เพราะที่นั่งไม่พอ
ซึ่งเหตุการณ์ทิ้งให้ผู้โดยสารรอข้ามวันของสายการบินนกแอร์ไม่ใช่ครั้งแรก ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2557 เที่ยวบินสายการบินนกแอร์จากน่านบินตรงดอนเมืองเกิดดีเลย์ทุกไฟล์ท ผลจากมีเครื่องบินเสีย 1 ลำ ส่งผลให้เที่ยวบินแรก 12.15 น. ดีเลย์นานถึง 7 ชม. เจ้าหน้าที่แก้ปัญหาโดยใช้เที่ยวบิน DD807 ซึ่งเป็นเที่ยวบินที่ 2รับผู้โดยสารในเที่ยวบินแรกกลับดอนเมืองก่อน แล้วปล่อยให้ให้ผู้โดยสารชุดที่ 2 ในเที่ยวบินปกติเวลา 16.25น. ต้องรอเที่ยวบินใหม่แบบไม่มีจุดหมาย โดยเที่ยวบินในครั้งนั้นมีสื่อมวลชนสายอสังหาริมทรัพย์รวมกว่า 30 ชีวิต ซึ่งเจ้าหน้าที่อ้างว่าจะซ่อมลำที่เสียหายให้แล้วเสร็จแล้วให้ผู้โดยสารที่เหลือกลับกับลำที่กำลังซ่อม
โดยการเจรจาในครั้งนั้น นายพาที สารสิน ระบุให้ไฟล์ทสื่อสารมวลกลับตอน 23.00น. โดยจะให้เที่ยวบินจากดอนเมืองกลับมากลับแต่มีเพียง 21 ที่นั่ง เนื่องจากต้องการให้ลูกค้ารายย่อยแทรกคิวไปด้วย ส่วนสื่อมวลชนอีก 13 คน ขอให้ไปเที่ยวบินพิเศษ 02.30 น.สุดท้ายก็ได้บินเที่ยวบินประวัติศาสตร์ ที่ Boarding Pass ระบุเที่ยวบินเวลา 02.50 น. (24มีนาคม)แต่เครื่องบินที่มาจากดอนเมือง แตะรันเวย์เวลา 03.00 น. และบินกลับดอนเมืองจริงๆเวลา 03.20 น. ถึงสนามบินดอนเมือง เวลา 04.33 น. รวมระยะเวลาในการรอขึ้นเครื่องบินกลับ กทม. ประมาณ 10 ชั่วโมงครึ่ง.

วันเสาร์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2557

สั่งขัง-งดบำเหน็จ "11 ทหารบูรพาพยัคฆ์" ยกพวกรุมตื๊บสารวัตรทหารอากาศ


คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น
สั่งขัง-งดบำเหน็จ 11 ทหารบูรพาพยัคฆ์ ยกพวกรุมตื๊บสารวัตรทหารอากาศ
ร.ท.พิชยา บุญเสริม ผบ.ร้อย.ม.ม.พัน.30 พล.ร.2 รอ.

สั่งขังร้อยโททหารม้า รุมสกรัมสห.ทัพฟ้า 30 วัน ขณะที่ลูกน้องโดน 45 วัน พร้อมตัดบำเหน็จครึ่งปี ด้าน 4 ทหารอากาศก็โดนขังด้วย เหตุขัดคำสั่งผู้บังคับบัญชา ผู้พัน สห.ทอ. ออกโรงเตือนยุติศึก ห้ามโพสต์เฟซบุ๊กท้าทายกันอีก 
      
       จากกรณีที่เจ้าหน้าที่ทหารบกสังกัด ม.พัน.30 รอ. กองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ (พล.ร.2 รอ.) แต่งกายชุดเต็มยศพร้อมอาวุธครบมือรุมทำร้ายร่างกาย จ.อ.ทศพร แจ่มสาคร เจ้าหน้าที่ทหารสังกัดสารวัตรทหารอากาศ จ.ส.วรวิศ บำรุงเรือง เจ้าหน้าที่ทหารสังกัดสารวัตรทหารอากาศ และ พ.อ.อ.จิรพันธ์ แสนสุข เจ้าหน้าที่ทหารสังกัดโยธาทหารอากาศ ซึ่งทำหน้าที่เป็นเจ้าหน้าที่ดูรักษาความปลอดภัย หรือการ์ด สถานบันเทิงคลองเพลง 1 ต.ประชาธิปัตย์ อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี เมื่อกลางดึกของวันที่ 27 ส.ค. ที่ผ่านมา กระทั่งมีการเผยแพร่วีดีโอคลิปในโซเชียลมีเดียนั้น
      
       วานนี้ (30 ส.ค.) รายงานข่าวแจ้งว่า พ.ท.เฉลิมพล ประเสริฐกุล หน.ฝกพ.พล.ร.2 รอ.ได้สรุปผลการสอบสวนข้อเท็จจริงถึง พล.ต.กู้เกียรติ ศรีนาคา ผบ.พล.ร.2 รอ. โดยคณะกรรมการฯ มีความเห็นให้พิจารณาลงทัณฑ์กำลังพลที่เกี่ยวข้อง จำนวน 11 นาย ได้แก่ ให้ขัง ร.ท.พิทยา บุญเสริม ผบ.ร้อย.ม.ม.พัน.30 พล.ร.2 รอ. ปฏิบัติหน้าที่ ผบ.ร้อย.รส.บก.ควบคุม ม.พัน.30 พล.ร.2 รอ. พื้นที่ อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี เป็นเวลา 30 วัน ณ กองรักษาการณ์ ม.พัน.2 พล.ร.2 รอ. โดยเสนอความผิดต่อ พล.ท.ธีรชัย นาควานิช มทภ.1 เพื่อขออำนาจลงทัณฑ์
      
       สำหรับ จ.ส.ต.คมสันต์ ทีฆกาญจน์ และ ส.อ.ณรงค์ ศรีชัยนารถ ให้ลงทัณฑ์จำขัง จำนวน 45 วัน ณ เรือนจำ มทบ.12 โดยอำนาจของ ผบ.พล.ร.2 รอ. ส่วน จ.ส.อ.ภิวัฒน์ กุมารสิงห์, ส.อ.พิชิต อินทร์จันทร์, จ.ส.อ.อาคม ศรีจันทร์, จ.ส.ท.สมัย ชัยชาญรัมย์, จ.ส.อ.สุจินต์ ใยวิจิตร, จ.ส.อ.เฉลิม เมืองฤทธิ์, จ.ส.อ.จักรพงษ์ นาอุดม และ ส.อ.วีระพล ทักขินัย ให้จำขังจำนวน 30 วัน ณ เรือนจำ มทบ.12 โดยอำนาจของ ผบ.พล.ร.2 รอ.
      
       นอกจากนี้ ยังให้งดบำเหน็จประจำปี 2558 ครึ่งปีแรก แก่กำลังพลทั้ง 11 นายดังกล่าว รวมทั้งให้ ม.พัน.30 พล.ร.2 รอ. ติดต่อประสานงาน อำนวยความสะดวกทางคดีกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ และอำนวยความสะดวกในการเยียวยาความเสียหายต่อผู้ได้รับบาดเจ็บทั้ง 3 ราย พร้อมทั้งรายงานผลการปฏิบัติงานให้ทราบ
      
       ทางด้านทหารอากาศ พล.อ.ต.ปรเมศร์ เกษโกวิท ผู้บังคับทหารอากาศดอนเมือง(ผบ.ดม.) ก็ได้สั่งลงโทษทหารที่เกี่ยวข้องทั้ง 4 คน ด้วยการจำขัง เนื่องจากมีความผิด ทั้งการก่อเหตุวิวาท และขัดคำสั่งผู้บังคับบัญชา ที่ห้ามไม่ให้รับงานนอก โดยเฉพาะการคุมสถานบันเทิง
      
       ขณะที่นาวาอากาศเอก เธียร เทพานนท์ ผู้บังคับกองพัน สห.ทอ. ได้เรียกสารวัตรทหารอากาศ ที่ถ่ายภาพหมู่และโพสต์ลงเฟซบุ๊ก ในลักษณะท้าทายทหารบก เพราะไม่ยอมจบ มาพบพร้อมตักเตือน แล้วสั่งให้ยุติศึกและงดการโพสต์เฟซบุ๊กท้าทายกันอีก
       

นิด้าโพล ชี้ ส่วนใหญ่หนุนวัด-พระ รายงานทรัพย์สิน เหตุมองไม่ค่อยโปร่งใส


คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น
นิด้าโพล ชี้ ส่วนใหญ่หนุนวัด-พระ รายงานทรัพย์สิน เหตุมองไม่ค่อยโปร่งใส

โพลนิด้า สำรวจพุทธศาสนิกชน เรื่องทรัพย์สินวัดพระสงฆ์ ส่วนใหญ่มองว่าไม่ค่อยมีความโปร่งใส หนุนรายงานทรัพย์สินวัด-พระสงฆ์ ต่อสนง.พระพุทธศาสนาฯ ทุกปี แต่ไม่ควรให้เสียภาษี
     
       วันนี้ (31ส.ค.) ศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชน เรื่อง “ทรัพย์สินของวัดและพระสงฆ์” ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 28 - 29 สิงหาคม 2557 จากประชาชนที่นับถือศาสนาพุทธ ทั่วประเทศ กระจายทุกระดับการศึกษาและอาชีพ รวมทั้งสิ้น จำนวน 1,254 หน่วยตัวอย่าง เกี่ยวกับการรายงานทรัพย์สินของวัดและพระภิกษุสงฆ์ ต่อสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติและการเสียภาษีจากรายได้แหล่งต่าง ๆ ของวัด อาศัยการสุ่มตัวอย่างจากบัญชีรายชื่อฐานข้อมูลตัวอย่างหลัก (Master Sample) ของ “นิด้าโพล” ด้วยความน่าจะเป็นแบบแบ่งชั้นภูมิ (Stratified Random Sampling) โดยแบ่งภูมิภาคออกเป็น 5 ภูมิภาค จากนั้นในแต่ละภาคสุ่มตัวอย่างแบบมีระบบ (Systematic Random Sampling) เก็บข้อมูลด้วยวิธีการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ โดยกำหนดค่าความเชื่อมั่นที่ร้อยละ 95.0 และมีค่าความคลาดเคลื่อนมาตรฐาน (Standard Error: S.E.) ไม่เกิน 1.4
     
       จากผลการสำรวจ เมื่อถามถึงความเชื่อมั่นของประชาชนต่อความโปร่งใสในการบริหารจัดการทรัพย์สินของวัดโดยทั่วไปในปัจจุบัน พบว่า ประชาชน ร้อยละ 10.69 ระบุว่า มีความโปร่งใสมาก ร้อยละ 22.89 ระบุว่า ค่อนข้างมีความโปร่งใส ร้อยละ 40.19 ระบุว่า ไม่ค่อยมีความโปร่งใส ร้อยละ 18.10 ระบุว่า ไม่มีความโปร่งใสเลย ร้อยละ 8.13 ระบุว่า ไม่ระบุ/ไม่แน่ใจ
     
       เมื่อถามถึงความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับการรายงานทรัพย์สินของวัดต่อสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเป็นประจำทุกปี พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ ร้อยละ 87.24 ระบุว่า ควร เพราะ ทุกวันนี้วัดมีความเป็นพุทธพาณิชย์มากขึ้น วัดควรมีการรายงานทรัพย์สินเพื่อให้เกิดความโปร่งใสและป้องกันการทุจริต ทำให้สามารถตรวจสอบและสาธารณชนทราบถึงที่มาที่ไปของทรัพย์สินเหล่านั้นได้ โดยเฉพาะวัดที่มีทรัพย์สินมากผิดปกติ ขณะที่ ประชาชน ร้อยละ 9.33 ระบุว่า ไม่ควร เพราะ ถือว่าเป็นทรัพย์สินของผู้มีจิตศรัทธาทำบุญถวายให้กับวัด และเป็นสิทธิ์ของวัดที่สามารถบริหารจัดการทรัพย์สินได้เอง และ ร้อยละ 3.43 ไม่ระบุ/ไม่แน่ใจ
     
       ด้านความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับการรายงานทรัพย์สินของพระภิกษุสงฆ์ต่อสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเป็นประจำทุกปี พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ ร้อยละ 73.84 ระบุว่า ควร เพราะ ทุกวันนี้มีผู้ที่ประพฤติตนมิชอบหาผลประโยชน์ในรูปแบบของพระสงฆ์ เป็นการป้องกันมิให้ญาติโยม หรือผู้มีจิตศรัทธาทำบุญไปโดยขาดการไตร่ตรอง ควรมีการรายงานทรัพย์สินเพื่อให้เกิดความโปร่งใสและความสบายใจทั้งผู้ให้และผู้รับ รองลงมา ร้อยละ 21.13 ระบุว่า ไม่ควร เพราะ ถือเป็นทรัพย์สินส่วนตัวของพระภิกษุที่มาจากญาติโยม หรือ ผู้มีจิตศรัทธาถวายให้ อีกทั้งยังมีพระภิกษุจำนวนมาก หากจะให้มีการรายงานควรดูเป็นเฉพาะรายกรณีไป และร้อยละ 5.03 ไม่ระบุ/ไม่แน่ใจ
     
       ท้ายที่สุด เมื่อถามถึงความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับการเสียภาษีของวัดจากการที่มีรายได้จากเงินบริจาค การทำบุญทุกชนิด เช่น กฐิน ผ้าป่า เงินทำบุญทั่วไป พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ ร้อยละ 82.62 ระบุว่า ไม่ควรมีการเสียภาษี รองลงมา ร้อยละ 14.91 ระบุว่า ควร และ ร้อยละ 2.47 ไม่ระบุ/ไม่แน่ใจ สำหรับรายได้จากการให้บูชา/ให้เช่า เครื่องรางของขลังพบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ ร้อยละ 55.50 ระบุว่า ไม่ควร รองลงมา ร้อยละ 40.19 ระบุว่า ควร และ ร้อยละ 4.31 ไม่ระบุ/ไม่แน่ใจ และรายได้จากการใช้ทรัพย์สินของวัด (เช่น การให้เช่าที่ดิน การจัดงานวัด เป็นต้น) พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ ร้อยละ 51.99 ระบุว่า ไม่ควร ขณะที่ ประชาชน ร้อยละ 44.58 ระบุว่า ควร และ ร้อยละ 3.43 ไม่ระบุ/ไม่แน่ใจ
     
       เมื่อพิจารณาลักษณะทั่วไปของตัวอย่าง พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 20.02 มีภูมิลำเนาอยู่กรุงเทพฯ และปริมณฑล ร้อยละ 19.94 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคกลาง ร้อยละ 19.94 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคเหนือ ร้อยละ 20.02 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และ ร้อยละ 20.10 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคใต้ ร้อยละ 51.20 เป็นเพศชาย และ ร้อยละ 48.80 เป็นเพศหญิง ตัวอย่างร้อยละ 7.05 มีอายุ ต่ำกว่า 25 ปี ร้อยละ 34.99 25 - 39 ปี ร้อยละ 45.16 มีอายุ 40 - 59 ปี และ ร้อยละ 12.81 มีอายุ 60 ปีขึ้นไป
     
       ตัวอย่างร้อยละ 100.00 นับถือศาสนาพุทธ ด้านสถานพภาพการสมรส ตัวอย่างร้อยละ 27.12 สถานภาพโสด ร้อยละ 71.12 สถานภาพสมรสแล้ว และร้อยละ 1.76 สถานภาพหม้าย หย่าร้าง แยกกันอยู่ ตัวอย่าง ร้อยละ 26.90 ระบุว่าจบการศึกษาประถมศึกษาหรือต่ำกว่า ร้อยละ 29.94 จบการศึกษามัธยมศึกษาหรือเทียบเท่า ร้อยละ 8.73 จบการศึกษาอนุปริญญาหรือเทียบเท่า ร้อยละ 29.54 จบการศึกษาปริญญาตรีหรือเทียบเท่า และร้อยละ 4.88 จบการศึกษาสูงกว่าปริญญาตรีหรือเทียบเท่า ตัวอย่าง ร้อยละ 15.06 ประกอบอาชีพข้าราชการ/ลูกจ้าง/พนักงานรัฐวิสาหกิจ ร้อยละ 14.58 ประกอบอาชีพพนักงานเอกชน ร้อยละ 24.84 ประกอบอาชีพเจ้าของธุรกิจ/อาชีพอิสระ ร้อยละ 14.10 ประกอบอาชีพเกษตรกร/ประมง ร้อยละ 15.06 ประกอบอาชีพรับจ้างทั่วไป ร้อยละ 12.66 เป็นพ่อบ้าน/แม่บ้าน/เกษียณอายุ/ว่างงาน และ ร้อยละ 3.69 เป็นนักเรียน/นักศึกษา ตัวอย่าง ร้อยละ 13.48 ระบุว่าไม่มีรายได้ ร้อยละ 25.04 มีรายได้ต่อเดือน ไม่เกิน 10,000 บาท ร้อยละ 27.11 มีรายได้ต่อเดือน 10,001 - 20,000 บาท ร้อยละ 10.85 มีรายได้ต่อเดือน 20,001 - 30,000 บาท ร้อยละ 6.78 มีรายได้ต่อเดือน 30,001 - 40,000 บาท ร้อยละ 7.18 มีรายได้ต่อเดือน มากกว่า 40,001 บาท ขึ้นไป และร้อยละ 9.57 ไม่ระบุรายได้

3 สาวขับเก๋งฝ่าฝนขึ้นภูทับเบิก เจอหมอกลงซ้ำรถตกเหวลึกกว่า 200 เมตร

คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น
3 สาวขับเก๋งฝ่าฝนขึ้นภูทับเบิก เจอหมอกลงซ้ำรถตกเหวลึกกว่า 200 เมตร
ภาพจากเจ้าหน้าที่กู้ภัยเพชรบูรณ์ ที่เข้าให้การช่วยเหลือผู้ประสบอุบัติเหตุรถตกเหวที่ภูทับเบิกเมื่อคืนที่ผ่านมา (30 ส.ค.)

เพชรบูรณ์ - เกิดอุบัติเหตุ 3 สาวขับเก๋งฝ่าสายฝนขึ้น “ภูทับเบิก” กลับเจอหมอกลงจัด คาดมองไม่เห็นทางทำให้รถชนแผงกั้นก่อนพุ่งตกลงเหวลึกกว่า 200 เมตร บนจุดสูงสุดของจุดชมวิว เสียชีวิตคาที่ 2 ราย อีกรายอาการสาหัส ก่อนเสียชีวิตในเวลาต่อมา
      
       วันนี้ (31 ส.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ร.ต.ท.กิตติศักดิ์ คำสนิท ปฏิบัติหน้าที่พนักงานสอบสวน สภ.หล่มเก่า จ.เพชรบูรณ์ ได้รับแจ้งเหตุ มีรถนักท่องเที่ยวพุ่งตกหน้าผาบนภูทับเบิก ที่ความลึกราว 250 เมตร ทำให้มีผู้เสียชีวิตในที่เกิดเหตุ 2 ราย และบาดเจ็บสาหัสอีก 1 ราย เมื่อ 20.30 น.ที่ผ่านมา (30 ส.ค.) จึงพร้อมด้วยมูลนิธิร่วมกตัญญู ร่วมอำนวยความสะดวก เหตุเกิดบนจุดชมวิว หรือจุดสูงสุดของภูทับเบิก แหล่งท่องเที่ยวขึ้นชื่อของจังหวัด บริเวณหมู่ 16 ต.วังบาล อ.หล่มเก่า จ.เพชรบูรณ์
      
       ที่เกิดเหตุพบรั้วไม้ที่ใช้กั้นนักท่องเที่ยวบริเวณหน้าผาถูกรถชนจนพังเสียหาย ทางเจ้าหน้าที่มูลนิธิร่วมกตัญญู พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ทหารอากาศ สถานีรายงานภูหมันขาว ราว 60 นาย ต้องเดินเท้าและใช้เชือกโรยตัวไปตามหน้าผาที่มีความลาดชัน และลื่น จากฝนที่ตกหนัก รวมถึงหมอกที่ลงหนาจัด จึงเป็นอุปสรรคอย่างมากในการช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ และการนำร่างผู้เสียชีวิตขึ้นมาจากก้นเหว จนพบรถยนต์เก๋งยี่ห้อฮอนด้า ซีวิค สีเทา ทะเบียน ษฬ 490 กรุงเทพมหานคร ในสภาพหงายตะแคงข้างพังยับเยิน
      
       ทางเจ้าหน้าที่ต้องใช้เครื่องมือตัดถ่างเพื่อนำผู้บาดเจ็บ และผู้เสียชีวิตออกจากซากรถ ซึ่งต้องใช้เวลา 2 ชั่วโมงในการให้ความช่วยเหลือ ทราบชื่อผู้เสียชีวิตแล้ว 1 ราย คือ น.ส.มะลิจันทร์ อุ่นเพ็ง อายุ 33 ปี ชาว ต.อำนาจ อ.ลืออำนาจ จ.อำนาจเจริญ อีกรายเป็นหญิงไม่ทราบชื่อ
      
       ส่วนผู้บาดเจ็บเป็นหญิง อาการสาหัส ไม่รู้สึกตัวถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชหล่มเก่า รพ.สมเด็จพระยุพราชหล่มเก่าแจ้งว่า ผู้ได้รับบาดเจ็บจากเหตุรถเก๋ง ตกหน้าผาที่ภูทับเบิก จ.เพชรบูรณ์ เป็นหญิง ชื่อหน่อย มาจาก จ.สกลนคร ไม่มีเอกสารในตัว ยังไม่ทราบชื่อจริง อายุประมาณ 30 ปี รูปร่างท้วม อาการตอนแรกที่ช่วยเหลือยังสามารถพูดคุยได้บ้าง แต่พอมาถึง รพ.คนไข้มีอาการหยุดหายใจ ทางเจ้าหน้าที่ต้องปั๊มหัวใจขึ้นมา แต่ผู้ป่วยก็ไม่รู้สึกตัว และเสียชีวิตในเวลาต่อมา
      
       จากการสอบถามผู้เห็นเหตุการณ์ ทราบว่าทั้ง 3 ได้เดินทางมาท่องเที่ยวที่ภูทับเบิก โดยทำการจองบ้านพักค้างคืน แต่ยังไม่ทันจะได้เข้าที่พัก ผู้ตายได้ขับรถขึ้นไปบนลานกว้าง คาดว่าน่าจะพยายามกลับรถ แต่อาจจะเหยียบคันเร่งแทนที่จะเหยียบเบรก ทำให้รถพุ่งชนรั้วไม้ที่กั้นนักท่องเที่ยว และตกหน้าผา ที่ความลึกราว 250 เมตร จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตดังกล่าว

"พระพยอม"มอบ"โฉนดถุงกล้วยแขก"คืนกรมที่ดิน


พระพยอมมอบโฉนดถุงกล้วยแขกคืนกรมที่ดิน
       ปิดฉากที่ดินฉาว! "พระพยอม" มอบโฉนดถุงกล้วยแขกคืนกรมที่ดินแล้ว เพื่อยุติข้อพิพาท หลังจากเป็นคดีความ โดยศาลได้ตัดสินให้เพิกถอนการครอบครอง และโอนกลับไปให้เจ้าของเดิม
      
       วันนี้ (30 สิงหาคม 2557 ) กรมที่ดินได้ส่งข่าวสารโดยเป็นภาพข่าวประชาสัมพันธ์ ระบุว่า นายพีระศักดิ์ หินเมืองเก่า อธิบดีกรมที่ดิน รับมอบโฉนดถุงกล้วยแขกคืนจาก พระราชธรรมนิเทศ (พระพยอม กลฺยาโณ) เพื่อร่วมแก้ไขและยุติข้อพิพาท กรณีซื้อขายที่ดินมูลนิธิวัดสวนแก้ว ณ โรงแรมแอมบาสซาเดอร์ จอมเทียน จังหวัดชลบุรี
      
       ผู้สื่อข่าวรายงานว่า อนึ่ง ศาลจังหวัดนนทบุรี ศาลออกนั่งบัลลังก์ อ่านคำพิพากษาในคดีที่ นายจำนง หิรัญประดิษฐ์ และพวก ทายาทของ นางทองอยู่ หิรัญประดิษฐ์ ยื่นฟ้องศาลนนทบุรี กล่าวหาว่า การครอบครองที่ดินของ นางวันทนา สุขสำเริง และมูลนิธิสวนแก้ว ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งมูลนิธิสวนแก้วคัดค้าน ว่า ได้ซื้อที่ดินแปลงดังกล่าวมาจาก นางวันทนา อย่างถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งพระพยอมระบุว่าเคยซื้อที่ดินมูลค่ากว่า 10 ล้านบาท และสำนักงานที่ดินจังหวัดนนทบุรี สาขาบางใหญ่ ได้ออกโฉนดให้อย่างถูกต้อง
      
       ทั้งนี้ ศาลจังหวัดนนทบุรี ได้ตัดสินให้เพิกถอนการครอบครองกรรมสิทธิ์ที่ดินของจำเลยที่ 1 คือ นางวันทนา สุขสำเริง และจำเลยที่ 2 คือ มูลนิธิสวนแก้ว โดยให้กรรมสิทธิ์ที่ดินกลับไปเป็นของ นางทองอยู่ หิรัญประดิษฐ์ ตามเดิม พร้อมทั้งให้จ่ายค่าทนายเป็นจำนวนเงิน 5,000 บาท
      
       ก่อนหน้านี้ นายจำนง หิรัญประดิษฐ์ และพวกได้ร้องคัดค้าน ต่อศาลเมื่อวันที่ 29 กันยายน 2546 ว่า การครอบครองที่ดินเลขที่ 8215 ต.บางเลน อ.บางใหญ่ จ.นนทบุรี เนื้อที่ 3 ไร่ 1 งาน 52 ตารางวา ที่ นางวันทนา สุขสำเริง เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ และครอบครองปรปักษ์ไม่ถูกต้อง ซึ่ง นางวันทนา ได้ขายที่ดินให้แก่มูลนิธิสวนแก้ว จำนวน 1 ไร่ 1 งาน 55 ตารางวา ต่อมาศาลพิจารณาจากหลักฐานแล้วตัดสินให้การครอบครองปรปักษ์ที่ดินของนางวันทนา เป็นโมฆะ ซึ่งที่ดิน.

แถลงการณ์สำนักพระราชวัง ฉบับที่ 3 ในหลวงพระพลานามัยดี

คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น
แถลงการณ์สำนักพระราชวัง ฉบับที่ 3 ในหลวงพระพลานามัยดี

สำนักพระราชวัง แถลงการณ์ฉบับที่ 3 ในหลวงพระพลานามัยดี น้ำหนักพระวรกายเพิ่ม คณะแพทย์จึงได้ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตงดการถวายสารอาหารเพิ่มทางหลอดพระโลหิต
      
       แถลงการณ์สำนักพระราชวัง เรื่อง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จฯ มาตรวจพระวรกาย ณ โรงพยาบาลศิริราช ฉบับที่ 3
      
       ตามที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จพระราชดำเนินมาโรงพยาบาลศิริราช เพื่อให้คณะแพทย์ถวายการตรวจพระวรกายอย่างละเอียด (ตามแถลงการณ์ฉบับที่ 2) คณะแพทย์ฯ ได้รายงานผลการตรวจถวายตรวจเพิ่มเติมด้วยเครื่องมือพิเศษ โดยเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ พบว่า พระอามาศัย (กระเพาะอาหาร) พระอันตคุณ (ลำไส้เล็ก) พระอันตะ (ลำไส้ใหญ่) พระยกนะ (ตับ) และพระวักกะ (ไต) เป็นปรกติ การตรวจพระโลหิตเพื่อติดตามผลเมื่อวานนี้ พบว่าสภาวะทางโภชนาการดีขึ้น และไม่พบการอักเสบในระบบต่างๆ ของพระวรกายแต่อย่างใด
      
       คณะแพทย์ผู้ถวายการตรวจพระวรกาย ได้รายงานว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระพลานามัยดีขึ้น น้ำหนักพระวรกายเพิ่มขึ้น คณะแพทย์จึงได้ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตงดการถวายสารอาหารเพิ่มทางหลอดพระโลหิตในระยะนี้
      
       จึงประกาศมาเพื่อทราบโดยทั่วกัน
      
       สำนักพระราชวัง
      
       30 สิงหาคม 2557