วันเสาร์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2557

จาก “ทักษิณ” คิด “ยิ่งลักษณ์” ทำ ถึง “ประวิตร” คิด “ประยุทธ์” ทำ ชั่วโมงนี้เขามาแรงแซง “ป๋า-แม้ว”

คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น
จาก “ทักษิณ” คิด “ยิ่งลักษณ์” ทำ ถึง “ประวิตร” คิด “ประยุทธ์” ทำ ชั่วโมงนี้เขามาแรงแซง “ป๋า-แม้ว”
พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ

จาก “ทักษิณ” คิด “ยิ่งลักษณ์” ทำ ถึง “ประวิตร” คิด “ประยุทธ์” ทำ ชั่วโมงนี้เขามาแรงแซง “ป๋า-แม้ว”
พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา

จาก “ทักษิณ” คิด “ยิ่งลักษณ์” ทำ ถึง “ประวิตร” คิด “ประยุทธ์” ทำ ชั่วโมงนี้เขามาแรงแซง “ป๋า-แม้ว”
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา

จาก “ทักษิณ” คิด “ยิ่งลักษณ์” ทำ ถึง “ประวิตร” คิด “ประยุทธ์” ทำ ชั่วโมงนี้เขามาแรงแซง “ป๋า-แม้ว”
พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร

จาก “ทักษิณ” คิด “ยิ่งลักษณ์” ทำ ถึง “ประวิตร” คิด “ประยุทธ์” ทำ ชั่วโมงนี้เขามาแรงแซง “ป๋า-แม้ว”
นายเนวิน ชิดชอบ

จาก “ทักษิณ” คิด “ยิ่งลักษณ์” ทำ ถึง “ประวิตร” คิด “ประยุทธ์” ทำ ชั่วโมงนี้เขามาแรงแซง “ป๋า-แม้ว”
นายอนุทิน ชาญวีรกูล

จาก “ทักษิณ” คิด “ยิ่งลักษณ์” ทำ ถึง “ประวิตร” คิด “ประยุทธ์” ทำ ชั่วโมงนี้เขามาแรงแซง “ป๋า-แม้ว”
นายวิชัย รักศรีอักษร หรือศรีวัฒนประไพ

จาก “ทักษิณ” คิด “ยิ่งลักษณ์” ทำ ถึง “ประวิตร” คิด “ประยุทธ์” ทำ ชั่วโมงนี้เขามาแรงแซง “ป๋า-แม้ว”
นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ

จาก “ทักษิณ” คิด “ยิ่งลักษณ์” ทำ ถึง “ประวิตร” คิด “ประยุทธ์” ทำ ชั่วโมงนี้เขามาแรงแซง “ป๋า-แม้ว”
พล.อ.ธวัชชัย สมุทรสาคร

จาก “ทักษิณ” คิด “ยิ่งลักษณ์” ทำ ถึง “ประวิตร” คิด “ประยุทธ์” ทำ ชั่วโมงนี้เขามาแรงแซง “ป๋า-แม้ว”
ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล

หลังจาก “ตระกูลชินวัตร” ครอบครองอำนาจทางการเมืองของไทยมาอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ “นักโทษชายหนีคดีทักษิณ ชินวัตร” ก้าวขึ้นสู่เก้าอี้นายกรัฐมนตรีคนที่ 23 ในปี พ.ศ.2544 นักการเมืองและวงศ์วานว่านเครือของตระกูลนี้ก็สืบทอดอำนาจและมีอิทธิพลทางการเมืองมาอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน
       
       ทักษิณ ชินวัตร
        สมชาย วงศ์สวัสดิ์
        สมัคร สุนทรเวช
        และยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
       
       คือ 4 นายกรัฐมนตรีที่ปฏิเสธไม่ได้ว่า เป็นคนของชินวัตร เป็นคนของ “ระบอบทักษิณ” ผ่านพรรคการเมือง 3 พรรคคือ พรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชนและพรรคเพื่อไทย
       
       อย่างไรก็ตาม ในชั่วโมงนี้ ใน พ.ศ.2557 นี้ สมการการเมืองและดุลแห่งอำนาจทางการเมืองของประเทศไทยได้เปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิง
       
       ที่สำคัญคือเป็นการเปลี่ยนแปลงที่หยั่งรากลึกลงไปในทุกองคาพยพ ทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลัง อย่างมีนัยสำคัญ
       
       แน่นอน คนที่ดลบันดาลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวขึ้นจะเป็นใครเสียไม่ได้นอกจากนายทหารร่างเล็กผู้เป็นพี่ใหญ่ของบูรพาพยัคฆ์ที่ชื่อ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่ “บิ๊กตู่-พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา”ตัดสินใจทำรัฐประหารยึดอำนาจจากรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
       
       การแผ่ซ่านทางอำนาจของ พล.อ.ประวิตรดำเนินการมาเป็นลำดับผ่านการแผ้วถางทางในกองทัพบกนับ โดยจุดเริ่มต้นเกิดหลังจาก พล.อ.ประวิตรได้รับการสนับสนุนจากอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณให้ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบกคนที่ 34 เพราะนั่นคือจุดเริ่มของการวางขุมกำลัง “บูรพาพยัคฆ์” ให้เติบใหญ่ในกองทัพบกแทนที่ “วงศ์เทวัญ” ซึ่งเป็นฐานอำนาจเดิม
       
       และแน่นอนว่า พล.อ.ประวิตรทำสำเร็จ เพราะสามารถผลักดันให้บูรพาพยัคฆ์ผู้น้องสืบทอดอำนาจในเก้าอี้ผู้บัญชาการทหารบกได้ถึง 3 คนคือ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และว่าที่ผู้บัญชาการทหารบกคนใหม่ บิ๊กโด่ง-พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร
       
       หลังเกษียณอายุราชการ พล.อ.ประวิตรก้าวเข้าสู่เส้นทางการเมืองในเก้าอี้ “รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม” ในรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชาชาชีวะ และที่ต้องขีดเส้นใต้เอาไว้ก็คือ ในเวลานั้นน้องรักแห่งบูรพาพยัคฆ์ที่ชื่อ “พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา” เป็นผู้บัญชาการทหารบก
       
       แน่นอน เก้าอี้ตัวนี้ว่ากันว่ามีที่มาจากผลงานที่ทำให้พรรคประชาธิปัตย์สามารถพลิกขั้วกลับมาเป็นรัฐบาลได้สำเร็จ
       
       นับจากนั้นมา บารมีของ พล.อ.ประวิตรก็ฉายแสงแรงกล้าเป็นลำดับจนถูกจับตาให้เป็น “กลุ่มอำนาจใหม่” ทางการเมืองที่ต้องจับตาเป็นพิเศษ เพราะเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีและนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีต้อง “เกรงใจ”
       
       และในช่วงจังหวะนั้นเองที่ทำให้ พล.อ.ประวิตรได้เข้าไปสานสัมพันธ์กับกลุ่มอำนาจทางการเมือง “สีน้ำเงิน” ที่มี “เสี่ยเน-และเสี่ยหนู” แห่งพรรคภูมิใจไทยเป็นแกนนำคนสำคัญ
       
       เสี่ยเนผู้นั้นจะเป็นใครเสียไม่ได้ นอกจาก นายเนวิน ชิดชอบ เจ้าของประโยคเด็ด “มันจบแล้วครับนาย” พร้อมกับแยกทางเดินกับนักโทษชายหนีคดีทักษิณ ชินวัตร หลังทุ่มกายถวายหัวรับใช้มาเป็นเวลานาน และขณะนี้ผันตัวไปทำสโมสรฟุตบอลบุรีรัมย์ยูไนเต็ดจนโด่งดัง
       
       เสี่ยหนูผู้นั้นจะเป็นใครเสียไม่ได้นอกจาก นายอนุทิน ชาญวีรกูล เจ้าของธุรกิจรับเหมาก่อสร้างยักษ์ใหญ่-ซิโนไทย
       ไม่เพียงเท่านั้น
       
       เพราะสายสัมพันธ์ดังกล่าวยังได้นำมาให้ พล.อ.ประวิตรได้ไปรู้จักกับนักธุรกิจชื่อดังอย่าง “นายวิชัย รักศรีอักษร” ซึ่งเปลี่ยนมาใช้นามสกุลใหม่ว่า “ศรีรัตนประภา” เจ้าของคิงพาวเวอร์ และเจ้าของสโมสรสรฟุตบอลเลสเตอร์ซิตี้แห่งพรีเมียร์ลีก ประเทศอังกฤษ ผู้ร่ำรวยด้วยทรัพย์ศฤงคารอีกต่างหาก และแนบแน่นเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับเสี่ยเน-เสี่ยหนู
       
       ทั้ง 3 ตัวละครคือชื่อที่ต้องจดจำไว้ เพราะเป็นจิ๊กซอว์ตัวสำคัญที่จะเข้ามามีบทบาทในทางการเมืองหลัง พล.อ.ประยุทธ์รัฐประหารและก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของไทย
       
       ถัดจากยุคนายอภิสิทธิ์ก้าวเข้าสู่ยุคที่นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี แม้บารมีของ พล.อ.ประวิตรก็ลดระดับลงไปบ้างเนื่องจากพลิกขั้วทางการเมืองกลับมาสู่ระบอบทักษิณอีกครั้ง หลังเสี่ยเน-เสี่ยหนูไม่ประสบความสำเร็จในการสร้างความเติบใหญ่ของพรรคภูมิใจไทยให้เหนือกว่าพรรคเพื่อไทย แต่ก็ถือว่าไม่ได้น้อยลงไปนัก เนื่องเพราะน้องรักบูรพาพยัคฆ์คนที่สองคือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ยังคงดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก
       
       หลังการรัฐประหารของคณะรักษาความสงบแห่งชาตินำโดย พล.อ.ประยุทธ์ บารมีของ พล.อ.ประวิตรได้กลับมาเปล่งประกายร้อนแรงอีกครั้ง และร้อนแรงชนิดที่ไม่สามารถหยุดได้อยู่เลยทีเดียว เนื่องจากเป็นที่รับรู้กันดีถึงความสัมพันธ์ที่แนบแน่นและแน่นแฟ้นในกลุ่ม 3 ป.แห่งบูรพาพยัคฆ์เป็นอย่างดี
       
       ป.ป้อม-ประวิตร
        ป.ป๊อก-อนุพงษ์
        และป.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
       
       บทพิสูจน์ที่ยืนยันความสัมพันธ์ของพี่น้อง 3. ป.แห่งบูรพาพยัคฆ์ได้เป็นอย่างดีก็คือการที่ พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะหัวหน้า คสช.แต่งตั้ง พล.อ.ประวิตรเป็นประธานที่ปรึกษา ขณะที่ พล.อ.อนุพงษ์ ผู้เป็นพี่ชายคนที่สองเป็นรองประธาน
       
       นอกจากนี้ ในองค์กรต่างๆ ที่คสช.ตั้งขึ้น ก็ปรากฏคนของ พล.อ.ประวิตรได้รับการแต่งตั้งเข้ามาทำหน้าที่เต็มไปหมด ไล่เรื่อยมาตั้งแต่สมาชิกสภานิติบัญญัตแห่งชาติ(สนช.) ที่กระแสข่าวหลายสายตรงกันว่า คนที่จัดโผก็คือ พล.อ.ประวิตร เพราะเต็มไปด้วยทหารเกษียณเตรียมทหารรุ่น 6(ตท.6) ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมรุ่นของเขา ตามต่อด้วยน้องรักจากสายบูรพาพยัคฆ์ที่เกษียณอายุราชการไปแล้ว และบรรดาบิ๊กๆ ทหารในมูลนิธิอนุรักษ์ป่ารอยต่อ 5 จังหวัด ที่พล.อ.ประวิตรนั่งเป็นประธานทั้งสิ้น
       
       ยกตัวอย่างเช่น พล.อ.นพดล อินปัญญา พล.อ.กิตติพงษ์ เกษโกวิท พล.ท.ธีรชัย นาควานิช พล.อ.เลิศฤทธิ์ เวชสวรรค์ พล.ท.คณิต สาพิทักษ์ พล.ท.วลิต โรจนภักดี รวมถึงน้องชายอีก 2 คนคือ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณและ พล.ร.อ.ศิษฐวัชร วงษ์สุวรรณ
       
       กล่าวสำหรับมูลนิธิอนุรักษ์ป่ารอยต่อฯ นั้น ถือเป็นแลนมาร์คที่สำคัญสำหรับ พล.อ.ประวิตรเลยก็ว่าได้ เพราะเป็นสื่อสัญลักษณ์ในทางการเมืองอีกรูปแบบหนึ่งที่ไม่อาจมองข้ามได้ เพราะถ้าหากย้อนกลับไปในอดีตก็จะเห็นร่องร่อยของเส้นทางสายนี้ได้เป็นอย่างดี
       พล.อ.เปรม ติณลูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษคือประธาน “มูลนิธิรัฐบุรุษ”
       
       พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ อดีตนายกรัฐมนตรีและองคมนตรี คือประธานมูลมูลนิธิพิทักษ์อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่
       
       และวันนี้ พล.อ.ประวิตรคือประธานมูลนิธิอนุรักษ์ป่ารอยต่อฯ ที่กำลังมาแรง และทำท่าว่าจะแรงกว่ามูลนิธิรัฐบุรุษของ พล.อ.เปรม และมูลนิธิพิทักษ์อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ของ พล.อ.สุรยุทธ์เลยก็ว่าได้
       
       ส่วนที่คณะกรรมการสรรหาสภาปฏิรูปแห่งชาติก็เป็นไปในท่วงทำนองเดียวกันเพราะงานนี้ พล.อ.ประวิตรและคณะที่ปรึกษา คสช.ทั้ง 10 คนเข้าไปนั่งเสมือนหนึ่งเป็นหัวหน้าคณะในแต่ละด้าน จนอาจไม่ผิดนักถ้าจะกล่าวว่า วันนี้ การเมืองในยุค “ทักษิณคิดยิ่งลักษณ์ทำ” ได้เปลี่ยนผ่านเข้ามาสู่ยุค “ประวิตรคิดประยุทธ์ทำ” เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
       
       กล่าวสำหรับในด้านการทหารนั้น ชัดเจนว่า บารมีของ พล.อ.ประวิตรมีอย่างเต็มเปี่ยม ชนิดถนนทุกสายมุ่งหน้าสู่บ้านของ พล.อ.ประวิตร ซึ่งตั้งอยู่ภายในกองพันทหารราบที่ 1 กรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กรักษาพระองค์ ชนิดหัวบันไดไม่แห้ง
       ถ้าจะกล่าวว่า พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษคือ ป๋าคนแรกของวงการทหาร
       
       ก็คงไม่ผิดนักถ้าจะกล่าวว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ประธานคณะที่ปรึกษา คสช.ก็คือ “ป๋าคนที่ 2” ของวงการทหารในเวลานี้
       ยิ่งเมื่อย้อนกลับไปดู “โผ” หรือความคืบหน้าล่าสุดในการพิจารณาบัญชีรายชื่อแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารประจำปี 2557 ก็ยิ่งเห็นชัดเจน
       
       ในกองทัพบก ว่าที่ผู้บัญชาการทหารบกคนต่อจาก พล.อ.ประยุทธ์ก็คือ “บิ๊กโด่ง” พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร (ตท.14) สายตรงส่งมาจากบูรพาพยัคฆ์แบบไม่ต้องสงสัย
       
       ส่วนอีก 3 เสือ ทบ.ที่เหลือ นายทหารที่ได้รับการคาดหมายว่าจะขยับมาเข้าไลน์ 5 เสือ ทบ.นั้น คาดว่า พล.อ.ประยุทธ์จะเสนอชื่อ พล.ท.ธีรชัย นาควานิช(ตท.14) แม่ทัพภาคที่ 1 เป็นผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก ส่วนเก้าอี้ เสธ.ทบ.ที่ถือว่าเป็นมือไม้ในการทำงานให้กับ ผบ.ทบ.คนใหม่นั้น ตกเป็นของ พล.ท.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์(ตท.14) รอง เสธ.ทบ คนปัจจุบันก่อนเกษียณอายุราชการในปีหน้า
       
       และที่ต้องขีดเส้นใต้เป็นกรณีพิเศษสำหรับเสือตัวสุดท้ายเห็นจะหนีไม่พ้นชื่อของ “พล.ท.ปรีชา จันทร์โอชา”(ตท.15)น้องชายของ พล.อ.ประยุทธ์ ซึ่งขณะนี้ดำรงตำแหน่งแม่ทัพภาคที่ 3 มานั่งในเก้าอี้ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก และนั่นหมายความว่า พล.ท.ปรีชามีโอกาสที่จะลุ้นเก้าอี้ “ผู้บัญชาการทหารบก” หลังการเกษียณอายุราชการของ พล.อ.อุดมเดชในปี 2558 ทันที
       
       แถมบารมีของ พล.อ.ประวิตรยังแผ่ไปถึงกองบัญชาการกองทัพไทยและสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหมอีกด้วย เพราะพล.อ.วรพงษ์ สง่าเนตร(ตท.12) และ พล.อ.ศิริชัย ดิษฐกุล(ตท.13) สองตัวเต็งในสองเก้าอี้นี้ ล้วนแล้วแต่ได้รับการสนับสนุนจาก พล.อ.ประวิตรทั้งสิ้น
       
       นี่คือเครือข่ายทางการทหารถือเป็นฐานกำลังสนับสนุนทางการการเมืองให้กับ พล.อ.ประวิตรได้อย่างไม่ต้องสงสัย
       
       แต่ที่เหนือกว่าก็คือ บารมีของ พล.อ.ประวิตรมิได้หยุดอยู่แค่วงการทหารเท่านั้น หากแต่แผ่อำนาจเข้าไปถึงวงการตำรวจด้วย กรณีการคัดเลือก “พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง” ขึ้นเป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติคนใหม่ ปฏิเสธไม่ได้ว่า แรงผลักสำคัญมาจากสายสัมพันธ์ของ พล.ต.อ.สมยศที่มีต่อ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีตผู้บัญชาการแห่งชาติ น้องชายของ พล.อ.ประวิตร ผู้เป็นนายเก่าของ พล.ต.อ.สมยศ
       
       เมื่อ พล.อ.ประวิตรหนุน มีหรือที่ พล.อ.ประยุทธ์จะปฏิเสธ
       
       ดังนั้น มติของคณะกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติ(ก.ต.ช.) จึงเป็นเอกฉันท์เลือก พล.ต.อ.สมยศเป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ
       ทหาร...ตำรวจ....สนช....สปช...
       
       คือตัวอย่างอันชัดเจนในบารมีของ พล.อ.ประวิตร
       
       กระนั้นก็ดี ความน่าสนใจของ พล.ต.อ.สมยศยังไม่ได้หยุดอยู่เพียงแค่เป็นลูกน้องเก่าของ พล.ต.อ.พัชรวาทเท่านั้น หากแต่ พล.ต.อ.สมยศยังเป็นนักธุรกิจที่มีแขนขาในทางการเมืองไม่ธรรมดา
       
       ใครๆ ก็ดีว่า พล.ต.อ.สมยศมีความสัมพันธ์อันแนบแน่นกับนายวิชัย รักศรีอักษรหรือศรีวัฒนประไพ
       
       นายวิชัยคือนายกสมาคมขี่ม้าโปโลแห่งประเทศไทย(ส.ม.ป.)
       
        พล.ต.อ.สมยศคือเลขาธิการสมาคมขี่ม้าโปโลแห่งประเทศไทย(ส.ม.ป.)
       
        เมื่อ พล.ต.อ.สมยศสนิทกับนายวิชัยย่อมไม่อาจมองเป็นอื่นได้ว่า เป็นคนกันเองกับนายเนวิน ชิดชอบและนายอนุทิน ชาญวีรกูล
       
       นี่ไม่นับรวมถึงสายสัมพันธ์อันดีของ พล.อ.อนุพงษ์น้องรักของ พล.อ.ประวิตรที่มีต่อบริษัทยักษ์ใหญ่ทางการเกษตรของไทยและของโลกในนาม “ซี.พี”
       
       ยัง....ยังไม่หมดเพียงเท่านั้น
       
       เพราะแขนขาทางการเมืองของ พล.อ.ประวิตรไม่ได้มีแค่พรรคภูมิใจไทยเท่านั้น หากยังเชื่อมโยงไปถึงตัวละครทางการเมืองที่เคยโดดเด่นในอดีตจนได้รับการคาดหมายว่ามีสิทธิที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีของไทยอย่าง “นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ” ผู้มีบารมีแห่งพรรคชาติพัฒนาด้วย
       
       เพราะต้องไม่ลืมว่า รองหัวหน้าพรรคชาติพัฒนาในเวลานี้ไม่ใช่ใครอื่น หากแต่เป็น “บิ๊กเยิ้ม-พล.อ.ธวัชชัย สมุทรสาคร”อดีตแม่ทัพภาคที่ 2 และอดีตผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษกองทัพบก ซึ่งเพิ่งได้รับการแต่งตั้งจาก คสช.ให้เป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) ก่อนที่จะตรวจพบในภายหลังว่าขาดคุณสมบัติ จนต้องสละสิทธิในเก้าอี้ตัวนี้ไป
       
       แน่นอน พล.อ.ธวัชชัยย่อมไม่ใช่ใครอื่น เพราะเขาคือนักเรียนเตรียมทหารรุ่น 12(ตท.12) เพื่อนร่วมรุ่นกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช.และนายกรัฐมนตรีของไทย
       
        แต่ที่สำคัญที่สุดคือ พล.อ.ธวัชชัยคือบูรพาพยัคฆ์
       
       ไม่เพียงแต่กลุ่มการเมืองดังกล่าวข้างต้นเท่านั้น เพราะในความเป็นจริงแล้ว ความสัมพันธ์ทางการเมืองระหว่าง พล.อ.ประวิตรกับพรรคการเมืองอื่นๆ ก็เป็นไปในท่วงทำนองเดียวกัน ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนก็คือรายชื่อของคณะกรรมการสรรหาสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ(สปช.)ด้านพลังงาน
       
       นายพละ สุขเวช
        นายวิเศษ จูภิบาล
        นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์
       
       3 อดีตผู้บริหารสูงสุดของเครือ ปตท.ล้วนแล้วแต่ถูกจัดอยู่ในปีกของ “ชินวัตรคอนเนกชัน” ซึ่งนั่นหมายความว่า ความสัมพันธ์ระหว่าง พล.อ.ประวิตรและอดีตนักโทษชายหนีคดีทักษิณ ชินวัตร ไม่ได้ถึงขั้น “ผีไม่เผา เงาไม่เหยียบ”
       
       ขณะที่ “ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล” หรือหม่อมอุ๋ย ซึ่งเป็นหนึ่งในคณะกรรมการสรรหาฯ ก็ถือเป็นสายตรงของ พล.อ.ประวิตร เพราะแนบแน่นเป็นหนึ่งเดียวกับ พล.อ.ประวิตรด้วยสายสัมพันธ์ “เซ็นต์คาเบรียลคอนเนกชัน”
       
       นอกจากนี้ การที่ พล.อ.ประยุทธ์ให้ตัวแทนส่งช่อดอกไม้ไปอวยพรวันเกิด “นายบรรหาร ศิลปะอาชา” ผู้มากบารมีแห่งพรรคชาติไทยพัฒนา ก็มีนัยสำคัญทางการเมืองอย่างปฏิเสธไม่ได้ ส่วนจะเกี่ยวข้องกับเส้นทางการเมืองที่จะดำเนินต่อไปจากนี้หรือไม่....ไม่มีใครตอบได้ ณ เวลานี้
       
       นี่คือฐานการเมืองที่สำคัญยิ่งของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ พี่ใหญ่ของบูรพาพยัคฆ์ ณ เวลานี้ และนับจากนี้ต่อไปโดยเฉพาะหลังจากที่ พล.อ.ประยุทธ์ปล่อยคืนอำนาจและเปิดให้มีการเลือกตั้งตามวิถีทางแห่งการปกครองระบอบประชาธิปไตย
       วันนี้ แม้บารมีในภาคประชาชนของ พล.อ.ประวิตรอาจไม่เท่ากับ นช.ทักษิณ ชินวัตร
       
       วันนี้ แม้บารมีของ พล.อ.ประวิตรจะยังไม่เป็นที่ยอมรับจากประชาชนคนไทยเทียบเท่ากับ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์
       แต่เชื่อว่า ผลพวงของ “ซูเปอร์คอนเนกชัน” ที่ครอบคลุมในแทบทุกด้าน อย่างน้อยชั่วโมง พล.อ.ประวิตรก็ไม่เป็นสองรองใครทั้งในแวดวงทหาร ตำรวจ ข้าราชการและสายสัมพันธ์ทางการเมือง
       
       และปรดอย่ากระพริบตาในทุกก้าวย่างของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เพราะเชื่อว่า บารมีของชายผู้นี้จะดำรงอยู่อย่างต่อเนื่องและยาวนานอีกหลายปี
       
       ดังนั้น นอกจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชาที่เป็นทั้งหัวหน้า คสช.และนายกรัฐมนตรีที่คนไทยจะต้องฝากผีฝากไข้เอาไว้แล้ว คนไทยยังจะต้องฝาก พล.อ.ประวิตรซึ่งมีบารมีสูงสุดในเวลานี้ โดยเฉพาะผู้ที่อยากเห็นประเทศไทยเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้น

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น